ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 600 ลบ.TRT คงอันดับองค์กรที่ BBB+/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 4, 2012 16:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 600 ล้านบาทของ บมจ.ถิรไทย(TRT) ที่ระดับ“BBB+" ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" เช่นเดียวกันด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายแห่งใหม่และโรงงานตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้ารวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท และที่เหลืออีก 100 ล้านบาทจะใช้สำหรับการดำเนินงานของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถานะของบริษัทในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศ ตลอดจนความสามารถในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายซึ่งมีกำลังไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าที่หลากหลาย รวมทั้งสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทได้รับแรงหนุนจากสัญญาการใช้ลิขสิทธิ์ของ Siemens Transformers Austria GmbH & Co KG (Siemens) จากประเทศออสเตรียซึ่งช่วยสนับสนุนในเรื่องการพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์และเป็นแหล่งอ้างอิงในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังเป็นหลัก

ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนศักยภาพการเติบโตในตลาดส่งออกหลายแห่ง และอุปสรรคที่ค่อนข้างสูงในการเข้าสู่ตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังด้วย

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงที่รายได้มากกว่า 1 ใน 3 ของบริษัทต้องพึ่งพิงลูกค้าในภาครัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า รวมถึงการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศสำหรับตลาดส่งออก ความต้องการแหล่งอ้างอิงในการเข้าตลาดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรให้คงที่เอาไว้ได้แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย โดยบริษัทควรสำรองสภาพคล่องทางการเงินเอาไว้ให้เพียงพออยู่เสมอ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะคงอยู่ในระดับเฉลี่ยแม้จะมีการลงทุนในอนาคตก็ตาม

ทริสเรทติ้งรายงานว่า TRT ก่อตั้งในปี 2530 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment - mai) ในเดือนพฤษภาคม 2549 โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทประกอบด้วยนายสัมพันธ์ วงษ์ปานซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและคณะผู้บริหารหลักซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนรวมกัน 34%

บริษัทเป็น 1 ในผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศในจำนวน 2 รายที่ผลิตทั้งหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทครอบคลุมทั้งหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังที่มีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 5-300 เมกะโวลต์แอมแปร์ที่แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 230 กิโลโวลต์และหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายที่มีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1 กิโลโวลต์แอมแปร์ถึง100 เมกะโวลต์แอมแปร์ที่แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 36 กิโลโวลต์ รายได้รวมของบริษัทในปี 2554 มาจากยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายในสัดส่วน 65% หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง 32% และรายได้จากการขายอุปกรณ์หม้อแปลงไฟฟ้าและงานบริการอีก 3% ฐานลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยกลุ่มรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า (44% ของรายได้รวม) บริษัทเอกชน (37%) และลูกค้าภาคการส่งออก (16%)

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า TRT เป็น 1 ในผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังทั้งสิ้น 4 ราย และเป็น 1 ใน 2 รายที่สามารถผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังที่มีกำลังไฟฟ้า 300 เมกะโวลต์แอมแปร์ด้วยแรงดันไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ การแข่งขันในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังมีความรุนแรงน้อยกว่าตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายเนื่องจากรูปแบบทางวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนมากกว่า กลุ่มผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้ากำลังเป็นกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงหรือธุรกิจที่ต้องใช้หม้อแปลงไฟฟ้าที่มีการออกแบบทางวิศวกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้น ความน่าเชื่อถือและคุณภาพจึงเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง รวมถึงผลงานในอดีตและแหล่งอ้างอิงจึงได้รับการกำหนดให้เป็นเงื่อนไขที่จำเป็น ส่วนตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายนั้นมีการแข่งขันสูงในด้านราคาเนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนน้อยกว่าและมีผู้ผลิตจำนวนมาก

สำหรับตลาดในประเทศนั้น รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าเป็นผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้าโดยตรงและเป็นผู้ใช้รายสำคัญเนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าและระบบสายส่งของประเทศ โดยปกติรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าจะจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อพัฒนาสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าย่อย รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบสายส่ง

ส่วนผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้าอื่น ๆ เป็นกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบสำคัญในโรงงาน ดังนั้น ความต้องการในอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าจึงขึ้นอยู่กับการใช้ไฟฟ้าด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าถือว่าค่อนข้างผันผวนเนื่องจากยอดสั่งซื้อหม้อแปลงใหม่ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน

รายได้ของ TRT ในปี 2553 เท่ากับ 1,492 ล้านบาท ลดลง 33% จาก 2,223 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงปี 2552-2553 ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศจนมีผลทำให้การลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งในปี 2554 โดยมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 2,137 ล้านบาทในปี 2554 ซึ่งสูงกว่ายอดสั่งซื้อในปี 2553 และ 2552 เป็นอย่างมาก ประมาณ 60% ของยอดสั่งซื้อในปี 2554 มาจากหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ดังนั้น รายได้ของบริษัทในปี 2554 จึงเพิ่มขึ้น 24% เป็น 1,855 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสแรกของปี 2555 ยอดสั่งซื้อกลับลดลง 33% เป็น 467 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่า 1,129 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2555 นั้นมีกำหนดส่งมอบในปี 2555 ทั้งหมด ดังนั้นรายได้ส่วนหนึ่งของบริษัทในปี 2555 จึงมีความแน่นอน

ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 14%-16% ในช่วงปี 2550-2554 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 10%-13% ในช่วงปี 2545-2549 เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการกำหนดราคาและการยืนราคาในระยะเวลาที่สั้นลง กระแสเงินสดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นโดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมดีขึ้นเป็น 59%-63% ในช่วงปี 2553-2554 จาก 49% ในปี 2552 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยเท่ากับ 28.87% และ 33.33% ณ สิ้นปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ