นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร รักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ.กฤษดามหานคร(KMC)เปิดเผยว่า บริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)ภายในปีนี้ โดยระหว่างนี้เจรจากับนักลงทุน 2-3 รายเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/55 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะระดมทุนได้ 800 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ในโครงการใหม่ในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม(RO)จำนวนกว่า 2 พันล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินราว 800 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินส่วนหนึ่งจะนำไปชำระหนี้ให้กับธนาคารเกียรตินาคิน(KK) กว่า 300 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือนำไปใช้ในการขยายโครงการใหม่
"เรามีแผนจะขาย PP เพราะได้ขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นไปแล้ว ตอนนี้กำลังเจรจากันอยู่ 2-3 ราย ก็ไม่ใช่รายใหญ่อะไร อยู่ในแวดวงอสังหาฯ ตอนนี้นักลงทุนที่เราคุยอยู่ก็อยากขอรอดูแผนการขาย RO ก่อน เรื่องขาย PP เชื่อว่าสรุปก่อนไตรมาส 4 "นายวิรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ราคาขาย PP จะคำนวณราคา 90% ของราคาตลาดขณะนั้น
อนึ่ง บริษัทได้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 2,021,395,860 หุ้น เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 10 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาขาย 0.40 บาท/หุ้น กำหนดวันจองซื้อระหว่าง 9-15 พ.ค.นี้
นายวิรัตน์ กล่าวว่า ในปี 55 แม้คาดว่าผลประกอบการจะยังขาดทุน แต่บริษัทเชื่อว่าจะลดขาดทุนจากการดำเนินงานลงได้ราว 70% จากปีก่อนขาดทุนกจากดำเนินงานกว่า 200 ล้านบาท โดยในปึนี้คาดว่าจะมีรายได้ 600-700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 400 กว่าล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่ซอยรัชดาฯ17 อีก 2 อาคาร มูลค่าขายรวม 800 ล้านบาทภายในไตรมาส 3/55 นี้ และปัจจุบันยังเปิดขายอยู่ 2 อาคาร
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการแนวราบที่ยังเปิดขายอยู่ 3 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม โดยโครงการดังกล่าวอยู่ที่รังสิต, นครอินทร์ และพุทธมณฑล สาย 3
นายวิรัตน์ คาดว่าในปี 56 บริษัทจะเริ่มกลับมีกำไร แต่ยังไม่มาก และคาดว่าในปี 57 กำไรจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบ low rise ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้ในปี 56-57 จะทำได้ปีละ 1 พันล้านบาท โดย จะมีสัดส่วนรายได้จากการขายคอนโดมิเนียมจะเพิ่มเป็น 70% และ โครงการแนวราบลดเหลือ 30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนเท่ากันที่ 50% ต่อ 50%
บริษัทยังมีแผนรีแบรนด์"กฤษดา"หลังจากที่ได้ผู้ร่วมลงทุนใหม่ แต่เบื้องต้นจะใช้แบรนด์อื่นที่ใช้กับบริษัทลูก อาทิเช่น โครงการแนวราบ ทาวน์เฮ้าส์ ราคาไม่เกิน 2.5-3 ล้านบาท จะใช้ชื่อ "The First" สำหรับบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 4-5 ล้านบาท ใช้"The Pride"
"ผมอยากลบภาพกลุ่มกฤษดาฯออกไป ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาเรื่องการขอสินเชื่อกับทางแบงก์" นายวิรัตน์ กล่าว