BANPU คาดผลงานปี 55ใกล้เคียงปี 54,เป้าปริมาณขายเพิ่มเป็น 47-48 ล้านตัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 11, 2012 13:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.บ้านปู(BANPU)คาดผลการดำเนินงานในปีนี้จะใกล้เคียงกับปี 54 ที่ผ่านมา จากปริมาณถ่านหินที่เพิ่มขึ้นทั้งจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย มั่นใจปริมาณการผลิตและขายถ่านหินใกล้เคียง เป้าหมายที่ตั้งไว้ ยืนยันกฎระเบียบด้านการทำเหมืองแร่ ทั้งของอินโดนีเซีย และออสเตรเลียไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 55 ว่าจะมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ตามปริมาณการผลิตและยอดขาย ถ่านหินที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินรวมจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน ที่ประมาณ 47-48 ล้านตัน จาก 42 ล้านตันในปี 54

ทั้งนี้ ปริมาณการขายจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 เป็นประมาณ 27 ล้านตัน และ 16 ล้านตัน ตามลำดับ ส่วนยอดขายที่เหลือคาดว่าจะมาจากประเทศจีนและมองโกเลีย

สำหรับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของทั้งปีคาดว่าจะดีกว่าปีที่แล้ว โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของอินโดนีเซียจะสูงกว่าปี 54 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 97 เหรียญสหรัฐต่อตัน เช่นเดียวกันราคาขายของถ่านหินออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วชึ่งอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน ทั้งนี้ การขายถ่านหินจากทั้งสองประเทศได้มีการกำหนดราคาไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นส่วนใหญ่

“ในปีนี้คาดว่ารายได้จากการขายจะเติบโตได้ ธุรกิจถ่านหินซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ จะได้รับผลดีจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและราคาขายที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ราบรื่นในไตรมาสแรก และน่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่อง" นายชนินท์ กล่าว

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 1/55 มีปริมาณขายถ่านหินจำนวน 9.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็น ปริมาณการขายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย จำนวน 5.7 ล้านตัน และออสเตรเลีย จำนวน 3.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และลดลงร้อยละ 3 ตามลำดับจากไตรมาส 1/54

ขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียในไตรมาสนี้อยู่ที่ 100.63 เหรียญสหรัฐต่อตัน และ 73.02 เหรียญออสเตรเลียต่อตันตามลำดับ มีรายได้จากการขายรวมจำนวน 28,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,132 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากปริมาณและราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 26,522 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 94 ของรายได้จากการขายรวม) และรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน และรายได้อื่นๆ มีจำนวน 1,789 ล้านบาท (ร้อยละ 6 ของยอดขายรวม)

กำไรสุทธิในไตรมาส 1/55 มีจำนวน 2,785 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 70 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง ร้อยละ 21 จากไตรมาส 4/54 เนื่องจากไม่มีการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในไตรมาสนี้หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการบันทึกกำไรหลังหักภาษีจากการขายเหมืองต้าหนิงในประเทศจีน จำนวน 6,308 ล้านบาท

“หากไม่นับรวมกำไรจากการขายเงินลงทุนแล้วจะเห็นว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2 เท่า(หรือร้อยละ 204) จากไตรมาส 1/54 แบ่งเป็นกำไรจากธุรกิจถ่านหินจำนวน 2,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3 เท่า (หรือร้อยละ 330) จากไตรมาส 1/54 และกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 477 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จาก ไตรมาส 1/54 โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น และจะยังคงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากมีสัญญารับมอบถ่านหินของปีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายชนินท์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ