นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในปี 55 อยู่ที่ 2.2 ล้านตัน เนื่องจากบริษัทสามารถผลักดันปริมาณขายกลับมาเป็นปกติที่ 497 พันตันและเป็นรายได้ถึง 11,584 ล้านบาท ถึงแม้ว่าการฟื้นตัวหลังมหาอุทกภัยของภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ก็ตาม ขณะที่ค่าการรีดอยู่ในระดับต่ำตามคาดที่ประมาณ 91 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบ ต้นทุนสูงที่ซื้อไว้ในไตรมาส 3/54 ตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม
และจากการที่โรงงานเอสเอสไอทีไซด์เริ่มผลิตเหล็กแท่งแบนแล้วในกลางเดือนเมษายน ซึ่งจะทำให้ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตหมดไป และจะสามารถเข้ามาเสริมยอดขายของ บริษัทนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป โดยเหล็กแบนที่ผลิตได้ 2 ใน 3 จะส่งมาเป็นวัตถุดิบโรงงานเอสเอสไอบางสะพาน ที่เหลือจะขายให้กับผู้ใช้รายอื่นในต่างประเทศซึ่งได้ติดต่อเข้ามาขอซื้อแล้วหลายราย
"การเปิดดำเนินการที่ล่าช้าจากแผนเดิมมา 6 เดือนนั้น เกิดจากการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมปรับปรุงโรงถลุงเหล็กเพื่อยืดอายุการใช้งานไปอีกประมาณ 20 ปี แทนที่จะต้องหยุดผลิตเพื่อซ่อมเตาเป็นเวลา 6 เดือนในเวลา 6 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราในระยะยาว บริษัทจึงได้ปรับเป้าหมายการผลิตเหล็กแท่งแบนในปีนี้ ที่ 2.2 ล้านตัน และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับ 3.6 ล้านตันต่อปีในปี 56 ส่วนอุปกรณ์ Pulverized Coal Injection (PCI" ที่จะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ประมาณ 30 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะเริ่มใช้งานได้ภายในไตรมาส 1/56" นายวิน กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กโลกมีแนวโน้มของการฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 55 และคาดว่าจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นในครึ่งปีหลัง โดย World Steel Association ประมาณการว่าความต้องการเหล็กโลกจะเติบโตขึ้น 4.5% เป็น 1,486 ล้านตัน ในปี 56
ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศในปีนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งเป็นผู้ใช้เหล็กที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยจะเริ่มกลับมาทำการผลิตได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งเริ่มกลับมาผลิตมากขึ้นและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยที่คาดว่า ไตรมาส 2/55 จะมีผลกระทบเชิงฤดูกาลจากวันหยุดสงกรานต์ แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี โดยจะขยายตัวประมาณ 7-8% ในปีนี้
นายวิน กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทฯในไตรมาส 1/55 เป็นไปตามคาด ยอดขายรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,742 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 2,841 ล้านบาทซึ่งสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่ระหว่างเตรียมการผลิตที่โรงถลุงเหล็กอังกฤษ ที่ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงถลุงและยังไม่มีการผลิตเหล็กแท่งแบน จึงมีเพียงรายได้จากธุรกิจโค้ก 4,085 ล้านบาท แต่บริษัทยังต้องแบกภาระผลขาดทุนจากค่าใช้จ่ายโรงงานในส่วนที่อยู่ระหว่างเตรียมการผลิตประมาณ 1,907 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจท่าเรือน้ำลึกนั้น โครงการเครนหน้าท่าPPC ติดตั้งเสร็จพร้อมใช้งานแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2555 รวมทั้งได้ผ่านการทดสอบการยกขนจนเป็นที่พอใจ ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่า โครงการนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายเหล็กแท่งแบนและผลิตภัณฑ์เหล็กอื่นๆ ซึ่งตามแผนจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งได้ประมาณ 7.5 เหรียญสหรัฐฯต่อตันจากการใช้เรือขนาด Panamax ขึ้นไป