บมจ.ทาทาสตีล(ประเทศไทย)(TSTH)คาดว่างวดปี 55/56 บริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรก่อนหักภาษี ซึ่งเป็นผลดำเนินงานที่ดีขึ้นจากงวดปี 54/55 ที่มีผลขาดทุนก่อนหักภาษี 1.3 พันล้านบาท โดยในงวดปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-12% จากงวดปีก่อนที่มีรายได้ 2.62 หมื่นล้านบาท ภายใต้ประมาณการปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นราว 10% จาก 1.14 ล้านตันในงวดปีก่อน ขณะที่บริษัทเพิ่มสัดส่วนสินค้าเหล็กพิเศษขึ้นเป็น 33% จากเดิม 28% เพื่อหวังผลักดันให้อัตรากำไรโดยรวมปรับตัวดีขึ้น
นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSTH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการงวดปี 55/56 (เม.ย.55-มี.ค.56)พลิกมีกำไรก่อนหักภาษี จากปีก่อนเป็นผลขาดทุน 1,350 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ Cash Profit และ EBITDA เป็นบวกเช่นกันจากปีก่อนที่ติดลบ 353 ล้านบาท และ 258 ล้านบาทตามลำดับ
ขณะนี้บริษัทเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยคาดว่ารายได้ในปี 55 จะเติบโต 10-12% จากปีก่อนที่มีรายได้. 2.62 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายเติบโต 10% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 1.14 ล้านตัน โดยปีนี้บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นเหล็กที่ใช้ในอุตสาหรรมยานยนต์เป็น 33% จากเดิม 28% เพื่อทำให้มาร์จิ้นสูงขึ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มราคาเหล็กในปีนี้ยังทรงตัวที่ระดับ 22,500 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาวัตถุดิบใน 3-6 เดือนข้างหน้าก็ยังไม่ลดลง
นายปิยนุช กล่าวว่า บริษัทจะรักษาความเป็นผู้นำการตลาดที่ส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) 25% ซึ่งในปีนี้สถาบันเหล็กคาดว่าความต้องการเหล็กทรงยาวในไทยจะเติบโต 5% เป็น 5 ล้านตัน จากปีก่อน 4.7 ล้านตัน โดยบริษัทได้เตรียมเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้า"ทาทาทิสคอน" และเพิ่มสัดส่วนสินค้าทำกำไรสูงขึ้นมากขึ้น เช่น Special Bar Product ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และ Small Section ที่เป็นเหล็กรูปพรรณขนาดเล็ก
ในปีนี้บริษัทจะเน้นการขายสินค้าในประเทศสัดส่วน 90% ที่เหลือส่งออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านและอินเดีย เนื่องจากมองว่าความต้องการสินค้าเหล็กในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายภาครัฐ ทั้งการสร้างสาธารณูปโภค และการป้องกันน้ำท่วม อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีอุปสรรคทางการค้า จากการนำเข้าเหล็กจากจีนที่ไม่เสียภาษีนำเข้า 5% อีกทั้งได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจีนอีก 9% เข้ามาแย่งตลาดในประเทศ
นายปิยุช กล่าวว่า บริษัทยังคงชะลอโครงการเหล็กหลอมเหลว(Mini Blast Furnace)ของบมจ.เอ็นทีเอส จนกว่าราคาสินแร่เหล็กหรือวัตถุดิบจะปรับตัวลง โดยเบื้องต้นจะชะลอไปถึงเดือน ก.ย.55 แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายระหว่างปิดโรงงานประมาณ 40-50 ล้านบาท/ปี