บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) คาดในไตรมาส 2/55 ค่าการกลั่นไม่รวมสต๊อคจะอยู่ที่ 6-7 เหรียญสรอ./บาร์เรล และมองแนวโน้มราคาคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ 105-112 เหรียญฯ หลังปัญหากรีซคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง ขณะที่คาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา(EBITDA) ปี 57 จะเพิ่มขึ้นไปที่ 2,800 ล้านบาท
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP คาด ในปี 55 บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ยค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ที่ระดับ 7 พันล้านบาท (ไม่รวมสต็อก) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 6 พันล้านบาท (ไม่รวมสต็อก) และประเมินว่าในปี 57 EBITDA จะมีจำนวนใกล้เคียงระดับ 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนหนึ่งบริษัทมี EBITDA จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ปีนี้เข้ามา 400 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านบาทในปี 56 และในปี 57 เพิ่มเป็น 2,800 ล้านบาท หลังจากทั้ง 3 เฟสเดินเครื่องแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้มีกำลังติดตั้งรวม 170 เมกะวัตต์
นายอนุสรณ์ คาดว่าค่าการกลั่น(ไม่รวมสต๊อก)ในไตรมาส 2/55 น่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 6-7 เหรียญ/บาร์เรล จาก 7 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาส 1/55 เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลง โดยในช่วงไตรมาส 2 นี้จะหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปีตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.-23 มิ.ย.55 เพื่อเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกริยาและเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น ส่งผลให้กำลังกลั่นเฉลี่ยไตรมาส 2/55 ลดลงและเมื่อซ่อมบำรุงเสร็จจะเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 110,000 บาร์เรล/วัน ทำให้กำลังการกลั่นเฉลี่ยในปี 55 อยู่ระดับ 98,000 บาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่เฉลี่ย 105-112 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงระยะสั้นโดยครึ่งปีหลังคาดราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 29-32 บาท/ลิตร และราคาแก๊สโซฮออล์จะอยู่ระดับ 35-37 บาท/ลิตร