ทริสฯ จัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 500 ลบ.ของ SPALI ที่ A-

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 21, 2012 13:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาทของ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทโดยหุ้นกู้มีประกันอยู่ที่ระดับ “A" และหุ้นกู้ไม่มีประกันอยู่ที่ระดับ “A-" ด้วยแน้วโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้สำหรับการขยายกิจการ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันของบริษัทมีอาคารสำนักงานให้เช่า “ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์" ซึ่งมีมูลค่าตลาดที่ 1.7 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้คงค้างตลอดอายุของหุ้นกู้เป็นหลักประกัน

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าคู่แข่งได้แม้ต้นทุนค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นและการแข่งขันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ แม้จะมีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษากระแสเงินสดและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SPALI เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนมีนาคม 2555 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 28% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 70 โครงการด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 26,000 ล้านบาท และยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมากอีกประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของฐานรายได้ โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งคิดเป็น 63% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และโครงการบ้านจัดสรรอีก 37% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายของบริษัทในปี 2554 เท่ากับ 17,416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จาก 14,366 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับที่ดีในโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปี 2554 ผลสำเร็จดังกล่าวผลักดันให้ยอดขายคอนโดมิเนียมของบริษัทมีมูลค่าสูงสุดที่ 12,879 ล้านบาท

ส่วนยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 4,921 ล้านบาทจาก 1,975 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้รีสอร์ต รัชดา ห้วยขวางซึ่งมียอดขายประมาณ 1,600 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 รายได้รวมของบริษัทเท่ากับ 12,686 ล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้น 14% จาก 11,083 ล้านบาทในปี 2553

ทั้งนี้ รายได้จากคอนโดมิเนียมเติบโต 28% จากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์ ซิตี้รีสอร์ต รามคำแหง และศุภาลัย ปาร์ค ติวานนท์ ในขณะที่รายได้จากบ้านจัดสรรอยู่ที่ประมาณ 4,900 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2553-2554 รายได้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 ลดลงมากถึง 52% เป็น 1,578 ล้านบาท จาก 3,286 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 เนื่องจากการรับรู้รายได้ของคอนโดมิเนียมที่ลดลงค่อนข้างมาก โดยรายได้จากคอนโดมิเนียมเท่ากับ 595 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2555 ลดลงอย่างมากจาก 2,298 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 อย่างไรก็ตาม บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบภายในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2555 ประมาณ 8,000 ล้านบาท

ดังนั้น รายได้สำหรับปี 2555 น่าจะยังคงดีอยู่ แม้ว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะลดลงเป็น 32.33% ในปี 2554 และ 29.13% ในไตรมาสแรกของปี 2555 จาก 34.90% ในปี 2553 แต่อัตรากำไรของบริษัทก็ยังคงสูงกว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนลงโดยมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 7.49% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 จาก 23.14% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงเดียวกันของปี 2554

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากบริษัทมียอดขายรอการส่งมอบในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2555 เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 33.33% ณ เดือนธันวาคม 2554 และ 30.05% ณ เดือนมีนาคม 2555


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ