นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์ซีพี (IRPC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของเทคโนโลยี 2-3 รายที่จะเข้ามาช่วยต่อยอดการผลิตผลิตภัณฑ์โพรพิลีน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้เพื่อจะตั้งโรงงานผลิตที่วางเป้าหมายเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 58 ซึ่งเป็นเวลาไล่เลี่ยกับโครงการขยายกำลังการผลิตโพรพิลีนที่มาจากการอัพเกรดจากผลิตภัณฑ์ long residue ในโรงกลั่น กำลังการผลิตกว่า 3 แสนตัน/ปีจะเริ่มทดลองและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปลายปี 57 หรือต้นปี 58
ประกอบกับ ในปีนี้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตโพรพิลีน(Propylene Booster)อีก 1 แสนตัน/ปี จากที่ผลิตอยู่แล้ว 3 แสนตัน/ปี ในเดือน ก.ค.55 จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตโพรพิลีนรวมเพิ่มเป็นประมาณ 7 แสนตัน/ปีในปี 58
"มีการเจรจากับเจ้าของเทคโนโลยี ก็คิดว่าภายในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะจะเลือกเทคโนโลยีอะไรมาพัฒนาและนำโพรพิลีนมาต่อยอด...เพราะเรามี aim ที่จะผลิตสินค้า Specialty หรือสินค้าปิโตรเคมีที่มีมูลค่าเพิ่ม ให้มีสัดส่วนเพิ่มเท่าตัวจากที่เราทำ 30% ในปีนี้ เราตั้งเป้าหมายไว้ปี 58 เราจะเพิ่มเป็น 60% ส่วนอีก 40% เป็น commodity"กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าว
นายอธิคม อธิบายเพิ่มว่า การเพิ่มสัดส่วนสินค้าเกรดพิเศษ(Specialty Product) จะมาจาก 2 ส่วน คือการเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทเองตามโครงการ Phoenix ที่ใช้เงินลงทุน 1.4 พันล้านเหรียญ ดำเนินโครงการ 20 โครงการ และอีกส่วนมาจาการเข้าซื้อกิจการและความร่วมมือหาพันธมิตรเพื่อต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากมองว่าความต้องการสินค้าประเภทนี้เพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของโลกที่มีสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมวัยชรามากขึ้น หรือ มีการย้ายเข้ามาในเมืองมากขึ้นจึงเน้นเรื่องสุขภาพมากขึ้น
ส่วนการเข้าร่วมทุนกับกลุ่ม UBE โดยเข้าถือหุ้นในบริษัท อูเบะ เคมิคอลลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (UCHA) ในสัดส่วน 25% นายอธิคม กล่าวว่า กลุ่ม UBE มีเทคโนโลยีขั้นสูง และความร่วมมือดังกล่าวบริษัทมุ่งจะพัฒนาเข้าสู่ธุรกิจพลาสติกวิศวกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะไนล่อน จะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์บางอย่างที่จะทำให้น้ำหนักรถยนต์เบาขึ้น และอื่นๆ
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/55 นายอธิคม กล่าวว่า ยังประเมินขณะนี้ไม่ได้ว่าจะขาดทุนสต็อกน้ำมันหรือไม่ จากที่ราคาน้ำมันในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาปิดสิ้นไตรมาสประมาณ 120 เหรียญ/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม บริษัทได้บริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ประมาณ 30% ไว้แล้วก็อาจจะช่วยได้ส่วนหนึ่งและเน้นการบริหารสต็อกน้ำมันไม่ไห้มีมากจนเกินไป
ขณะที่ส่วนต่างหรือสเปรดปิโตรเคมีทุกตัวในเดือนพ.ค.นี้ เริ่มขยับดีขึ้นกว่าในเดือน เม.ย. และ หลังจากจบการประชุมผู้นำ G8 ที่ต้องการให้กรีซคงอยู่ในกล่มยูโร ทำให้สเปรดดีขึ้น มีการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ขณะที่คาดว่าสเปรดธุรกิจโรงกลั่นจะยังทรงตัว ดังนั้นคาดว่า ค่าการกลั่นรวม (GIM) ในไตรมาส 2/55 อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 55 รายได้จะพิ่มขึ้น 10-15% โดยมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นจากที่ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเหมือนปีก่อนที่ปิดซ่อมไป 45 วัน ทำให้กำลังการกลั่นเฉลี่ยปีนี้บริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 1.75-1.8 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อนมีกำลังการกลั่น 1.6 แสนบาร์เรล/วัน ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขายจากโรงกลั่นมีสัดส่วน 65% ส่วน 35% เป็นปิโตรเคมี ขณะที่กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา(EBITDA) จะมาจากปิโตรเคมี 60% ส่วนโรงกลั่นมีสัดส่วน 40%
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 1/55 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 944 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/54 ที่มีกำไรสุทธิ 3,773 ล้านบาท หรือ ลดลง 2,829 ล้านบาท ขณะที่เทียบกับไตรมาส 4/54 ที่ขาดทุน 1,522 ล้านบาท โดยมี GIM ที่ 7.38 เหรียญ/บาร์เรล