ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 6.66 จุดเหตุวิตกสถานการณ์กรีซ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 24, 2012 06:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของกรีซ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนในช่วงท้าย หลังจากมีข่าวว่ากลุ่มผู้นำยูโรโซนใกล้จะตกลงกันได้เกี่ยวกับการสนับสนุนให้กรีซยังคงอยู่ในกลุ่มยูโรโซนต่อไป

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับลง 6.66 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 12,496.15 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 2.23 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 1,318. 86 จุด ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 11.04 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ระดับ 2,850.12 จุด

ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักหลังจาก นายลูคัส ปาปาเดมอส อดีตนายกรัฐมนตรีกรีซ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ความเสี่ยงที่กรีซอาจจะออกจากกลุ่มยูโรโซนนั้นมีอยู่จริง พร้อมกับเตือนว่าการร่วงลงของสกุลเงินยูโรอาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจกรีซและประเทศอื่นๆในยูโรโซน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) เปิดเผยกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยหากไม่มีการใช้มาตรการด้านการคลังที่จำเป็น ขณะเดียวกันก็มีความกังวลมากขึ้นว่า ในที่สุดแล้วกรีซอาจออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน

ด้านองค์การความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) เตือนว่า 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเสี่ยงที่จะถลำลงสู่ "ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง" หากไม่มีการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม และคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะอยู่ในภาวะถดถอยเล็กน้อยในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงจะลดลง 0.1% สำหรับปี 2555 ก่อนที่จะปรับขึ้น 0.9% ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในช่วงท้าย ซึ่งช่วยพยุงดัชนีดาวโจนส์ไม่ให้ร่วงลงมากเกินไป หลังจากมีข่าวว่าว่ากลุ่มผู้นำยูโรโซนใกล้จะตกลงกันได้เกี่ยวกับการสนับสนุนให้กรีซยังคงอยู่ในกลุ่มยูโรโซนต่อไป

นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ที่กรุงบรัสเซลส์ โดยคาดว่าผู้นำยูโรโซนจะมีการดำเนินการมากขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาหนี้ อีกทั้งคาดหวังว่าเยอรมนีและฝรั่งเศสจะสามารถตกลงกันได้ และยูโรโซนจะรักษาความเป็นเอกภาพเอาไว้ได้ แทนที่จะหารือถึงแผนการแยกตัว

ตลาดได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นเมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 3.3% แตะ 343,000 ยูนิตในเดือนเมษายน เทียบกับ 332,000 ยูนิตในเดือนมีนาคม ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 3.4% สู่ระดับ 4.62 ล้านยูนิตในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี นับเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแรงของสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ดีดตัวขึ้น 1.1% หุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นเฟซบุ๊กดีดตัวขึ้น 3.2% หลังจากที่ร่วงลงติดต่อกัน 2 วันก่อนหน้านี้ หุ้นเดลล์ อิงค์ ร่วงลง 17%

ส่วนหุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด หุ้นไมโครซอฟท์ คอร์ป และหุ้นอินเทล คอร์ป ดิ่งลงกว่า 2%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดย วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนพ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ