นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) กล่าวว่า จะเสนอขายกองทุนเปิดบัวหลวงทริกเกอร์ 5 (11%) ตั้งแต่วันนี้ (30 พฤษภาคม) จนถึงวันที่ 6 มิถุนายนนี้ โดยกองทุน TRIGGER5 มีเป้าหมายการแสวงหาผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 11 ภายในระยะเวลา 18 เดือน จากการที่ราคาหุ้นไทยลดลงไปมากแล้ว เนื่องจากเห็นว่ามีโอกาสจะทำได้เพราะราคาหุ้นไทยลดลงไปไม่น้อย
ขณะที่ นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม กล่าวว่า TRIGGER5 เป็นกองทุนประเภทผสม และไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น โดยกองทุนมีขนาด 1,000 ล้านบาท และเพิ่มได้อีกไม่เกิน 150 ล้านบาท กองทุนกำหนดผลตอบแทนเป้าหมายขั้นต่ำไว้ที่ร้อยละ 11 มีอายุโครงการไว้ 18 เดือน
ทั้งนี้ การเลิกกองทุนสามารถเลิกก่อน 18 เดือนได้ ถ้าราคาหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.25 บาทติดต่อกันเป็นเวลา 3 วันทำการและมูลค่าที่จะรับซื้อคืนอัตโนมัติไม่ต่ำกว่า 11.10 บาท แต่ถ้าภายใน 18 เดือนกองทุนไม่สามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายครบอายุโครงการกองทุน ก็จะจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ลงทุนตามมูลค่าที่เหลืออยู่ ซึ่งอาจจะกำไรหรือขาดทุนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้
ดังนั้น ผู้ลงทุนที่เหมาะสมจึงควรเป็นผู้ที่ลงทุนได้ยาวถึงประมาณ 18 เดือนเป็นอย่างมาก และต้องเข้าใจถึงภาวะผันผวนของราคาหุ้น รับความเสี่ยงได้สูง โดยต้องมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตไปได้ และราคาหุ้นก็ต่ำลงมามากพอสมควรจึงมีโอกาสในการแสวงหาผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายของกองทุน
นางวรวรรณ ระบุว่า เอเชียเป็นภูมิภาคที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจไม่ว่าปัจจุบันหรือในอนาคต ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง งบดุลดี มีหนี้น้อย และกลุ่มชนชั้นกลางมีสัดส่วนสูง ทำให้การบริโภคภายใน ประเทศขยายตัวได้ต่อเนื่อง อันเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโต และประเทศไทยก็ไม่แพ้ประเทศอื่นในภูมิภาค เนื่องจากเศรษฐกิจยังจะขยายตัวได้แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางยุโรป ด้านเงินเฟ้อก็ยังจัดการได้ดีอยู่ นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกไตรมาสเดียวก็มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิในปริมาณใกล้เคียงกับตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
สิ่งที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนแบบ Trigger ที่มีการกำหนดระยะเวลาคืนเงิน ซึ่งต่างกับกองทุนเปิดหุ้นทั่วไป ก็คือ “จังหวะเข้าออกในตลาด" ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มสูงไปถึงประมาณ 1,200 จุดและตกลงมาที่ 1,100 — 1,150 จุด และยังมีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนตามข่าวที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของฝั่งตะวันตก แต่ต้องไม่ลืมว่าการตกลงมาของหุ้นรอบนี้เกิดจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานของเรายังดีอยู่ และตลาดน่าจะรับข่าวประเทศกรีซไปพอสมควรแล้ว และต่างชาติที่ขายหุ้นก็ยังไม่ได้เอาเงินออกนอกประเทศ เขาอาจจะหาจังหวะกลับเข้าไปซื้อใหม่ในราคาที่ถูกลง เพราะ Downside Risk ต่ำ ในขณะที่ Upside Gain สูง
ด้านนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน กล่าวว่า หุ้นไทยก็ค่อนข้างได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะปรับตัวลงมาประมาณร้อยละ 10 ถึง 15 ค่า P/E ก็ลงมาอยู่ที่ประมาณ 11 เท่า จากเดิมในไตรมาสแรกอยู่ที่ประมาณ 12 ถึง 13 เท่า ซึ่ง P/E ระดับนี้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 12.82 มาเลเซียอยู่ที่ 14.25 โดยเปรียบเทียบแล้วหุ้นบ้านเรามีราคาถูกกว่าเพื่อนบ้าน หากเงินต่างชาติที่ต้องการแสวงหาโอกาสการลงทุนกลับเข้ามาในเอเชีย หุ้นไทยก็น่าจะอยู่ในเรดาร์ที่สนใจ