นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี กล่าวว่า มีความมั่นใจว่ายังคงมีปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยหลายประการในอนาคต ทำให้ดัชนีราคาหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะเป้าหมายที่ระดับ 1,300-1,350 จุด โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ระดับ 13-13.5 เท่า
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ ไอเอ็มเอฟ ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ออกมาประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยล่าสุดว่า ในกรณีวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรปเลวร้ายที่สุด นั่นคือ การที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน แต่เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ในระดับ 4% ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงของการปรับฐาน จึงถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในกองทุนทริกเกอร์
บลจ.ไอเอ็นจี มั่นใจปัจจัยบวกสนับสนุนให้ผลตอบแทนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5)" เข้าสู่เป้าหมาย โดยเฉพาะการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทย เพื่อปรับฐานในช่วงนี้ก่อนไปต่อ เป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน ประเมินปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกเริ่มคลายตัว และเป็นช่วงเวลาของการคลี่คลายปัญหาในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง
กลยุทธ์ลงทุนเน้นการเลือกหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการเติบโตสูง จากแรงขับเคลื่อนภายในประเทศ พร้อมประเมินแรงขายของต่างชาติที่ซื้อสะสมมาตลอดไม่มีผลกระทบมากนัก เหตุหุ้นไทยยังน่าลงทุนเมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกัน
กองทุนดังกล่าวระบุเงื่อนไขพร้อมขายคืนหน่วยลงทุนทันทีเมื่อ NAV ต่อหน่วยแตะระดับ 11 บาท ยิ่งทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป้าหมาย เปิดจองถึงวันที่ 8 มิ.ย.นี้ กำหนดจองขั้นต่ำ 2,000 บาท
นายจุมพล กล่าวว่า หลังจากบริษัทฯ ได้เสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5) ( ING Thai Trigger 10% Fund (5)) ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากกองทุนดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ตราสารทุน ภายใต้เงื่อนไขการสร้างผลตอบแทนเป้าหมายที่ประมาณ 10%
สำหรับ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5)" มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูง และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย โดยเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 10 บาท ไปอยู่ที่ 11.00 บาทต่อหน่วย ณ วันใดวันหนึ่ง กองทุนก็จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด พร้อมเลิกกองทุน (โดยกองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ภายใน 5 วันทำการ ถัดจากวันที่มูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ระดับ 11.00 บาท ณ วันใดวันหนึ่ง โดยจะนำเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นท์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ)
กองทุนดังกล่าวมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็นกองทุนผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพตลาด ทำให้สามารถบริหารการลงทุนได้เป็นอย่างดีในทุกช่วงตลาดการลงทุน ซึ่งจากภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ พบว่ายังมีหุ้นอีกหลายบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสในการขยายตัวจากแรงขับเคลื่อนภายในประเทศ จะเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจในการที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนเป้าหมายให้กับนักลงทุน