นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์(QH)เปิดเผยว่าในปี 55 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะมาจากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมิเนียมทั้งโครงการ Trust ปิ่นเกล้า ที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/55 และเริ่มโอนปลายไตรมาส 3/55 ถึงต้นไตรมาส 4/55 ซึ่งจะรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 1.6 พันล้านบาท รวมทั้งโครงการ Q หลังสวน, พลาซ่า ลาดพร้าว และ พลาซ่า สุขุมวิท 97
สำหรับในแง่ของกำไรนั้น ในปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจจะเติบโตราว 50% จากปีก่อนที่มีกำไร 853 ล้านบาท และหากสามารถจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ตามแผนงานในปลายใตรมาส 3/55 มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาทสำเร็จ ก็จะทำให้กำไรสุทธิเติบโตได้มากขึ้นไปอีก
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30% โดยไตรมาส 1/55 ที่อยู่ในระดับ 29% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการทำตลาดแบรนด์สินค้าใหม่ลดลง จากเดิมที่มีค่าใช้จ่าย 20% เหลือ 10% และมียอดรับรู้รายได้และยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีการปรับเปลี่ยนการออกแบบบ้านใหม่เป็นแนวโมเดิร์นจากเดิมที่เน้นแบบคลาสสิกที่ใช้วัสดุเกรดสูงมาใช้วัสดุคุณภาพระดับกลาง เช่นเดียวกับคู่แข่ง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และปรับเปลี่ยนระบบการก่อสร้างมาใช้ระบบ Precast ที่ช่วยลดเวลางานก่อสร้าง
ปัจจุบัน บริษัทมียอดรอโอน ราว 7 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม และจะรับรู้ครายได้อีก 2 พันล้านบาทในปี 56
นางสุวรรณา เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะพิจารณาจัดสรรงบเพื่อซื้อที่ดินรองรับโครงการอย่างต่อเนื่อง แต่จะคาดว่าจะใช้งบต่ำกว่าปีก่อนที่ตั้งไว้ 5 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์เพื่อรอการพัฒนาโครงการใหม่ จำนวน 12 แปลง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางวา
บริษัทมีแผนลดอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ให้เหลือไม่เกิน 1 เท่าภายในสิ้นปีนี้ จากไตรมาส 1/55 อยู่ที่ระดับ 1.7 เท่า โดยหลังการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะนำโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ รวม 3 แห่งขายเป็นสินทรัพย์กองทุนอสังหาฯ รายได้ส่วนนี้จะนำมาชำระคืนเงินกู้บางส่วน เพื่อลด D/E ลดเหลือ 1.3 เท่า และในครึ่งปีหลังก็จะมีการโอนคอนโด Trust ปิ่นเกล้า
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.ค. 55 จำนวน 2.5 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีวงเงินหุ้นกู้ที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้แล้วรวม 1.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน นางสุวรรณา ยอมรับว่า ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและราคาวัสดุก่อสร้งเพิ่มขึ้น โดยต้นทุนรวมปรับขึ้นแล้ว 7-8% ทำให้บริษัททยอยปรับขึ้นราคาขาย 5-8% ซึ่งการปรับชึ้นราคาขายจะพิจารณาภาพรวมตลาดด้วย เพราะอาจมีผลกระทบต่อยอดขายได้
ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 55 ยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในไตรมาส 1/55 ในขณะที่ไตรมาส 2/55 บ้านระดับกลางและล่าง เริ่มมีดีมานด์มากขึ้น แต่บ้านระดับราคาที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักธุรกิจการค้า ยังรอความชัดเจนเรื่องน้ำท่วมก่อน แต่ตนเองคาดว่าจะไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมอีก ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดอสังหาริทรัพย์จะดีขึ้น
แต่ก็ยังกังวลสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งยังคาดเดาทิศทางได้ยาก เพราะในช่วง 2-3 ปีที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองได้ส่งผลต่อธุรกิจ ดังนั้น เหตุการณ์การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
ส่วนการปรับประเมินที่ดินใหม่ แต่อาจจะส่งผลค่าใช้จ่าย เช่น ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่น่าส่งต่อราคาขาย