บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/55 บริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อก หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคานาฟทาที่เป็นวัตถุดิบสำคัญลดลงมาอยู่ที่ไม่เกิน 800 เหรียญ/ตัน จากที่อยู่ในระดับกว่า 900 เหรียญ/ตันในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
ขณะที่รายได้ในไตรมาส 2/55 จะดีกว่าไตรมาส 1/55 โดยมีสเปรด HDPE อยู่ที่ 490 เหรียญ/ตัน จากที่ต่ำสุดใตรมาส 1/55 ที่ 375 เหรียญ/ตัน
"สเปรดที่ได้สูงขึ้นไม่สามารถชดเชย stock loss ได้"นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า ในเดือนหน้าคณะกรรมการบริษัทจะมีการหารือแผนระยะกลาง 5 ปี ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดหรือเงินในมือเพียงพอกับการเข้าซื้อกิจการ โดยประเทศเป้าหมาย คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยอินโดนีเซียนั้นตลาดในประเทศเติบโต และมีการส่งออกน้อย จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาภายนอกประเทศ ส่วนการลงทุนในเวียดนาม ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะพึ่งพาการส่งออกสูง
ส่วนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามยังเดินหน้า โดยอยู่ระหว่างการกำหนดกรอบแหล่งเงินทุน ซึ่งล่าสุด ธนาคารเพื่อความร่วมมือ ระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) รับปากสนับสนุน คาดว่าต้นปี 56 จะได้ข้อสรุป
สำหรับการเข้าซื้อกิจการในยุโรป หรือ สหรัฐฯ จะเป็นการเข้าไปเพื่อประโยชน์ในด้านเทคโนโลยี องค์ความรู้ และบุคคลากร
ขณะที่ผลกระทบจากปัญหาของกรีซและยูโรโซนนั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า คงมีกระทบทางอ้อม คือ re-export แต่บริษัทให้ความสนใจที่เศรษฐกิจจีนมากกว่า เพราะจีนเป็นแรงผลักดันในเอเชีย