บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)เป็นระดับ “BBB-" จากเดิมที่ “BBB" ในขณะเดียวกันยังปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative" หรือ “ลบ" จากเดิม “Stable" หรือ “คงที่"
ทั้งนี้ การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงอย่างมากจากการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องถึง 6 ไตรมาส การที่บริษัทมีภาระหนี้สูงและมีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่สูงส่งผลทำให้งบดุลของบริษัทอ่อนแอและมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จำกัด
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" ยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทที่จะดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญคืออัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระบุในสัญญาหุ้นกู้และสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารเอาไว้ได้ โดยภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 2.5 เท่า โดยการทดสอบอัตราส่วนดังกล่าวครั้งต่อไปกำหนดให้มี ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2555
อันดับเครดิตระดับ “BBB-" สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยของบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ตลอดจนโครงการก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ที่หลากหลายจำนวนมาก ความสามารถในการรับงานก่อสร้างหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับในโครงการก่อสร้างภาครัฐและโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากการที่บริษัทมีนโยบายการลงทุนเชิงรุกและการมีภาระหนี้สูง นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทยังเพิ่มสูงขึ้นจากการที่บริษัทได้มีการลงทุนในโครงการสัมปทานขนาดใหญ่เอาไว้
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงของบริษัทและความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินเอาไว้ได้เหมือนเดิม จากแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" อันดับเครดิตของบริษัทจึงไม่น่าจะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นในระยะใกล้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากบริษัทผิดเงื่อนไขในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงินหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงไปอีก ในทางตรงข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเป็น “Stable" หรือ “คงที่" หากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ITD เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สถานะผู้นำตลาดของบริษัทเกิดจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งการมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ความสามารถในการผลิตวัตถุดิบสำคัญที่เพียงพอ การมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างที่ครบครัน ตลอดจนการมีวิศวกรและช่างที่มีทักษะสูงจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในปี 2554 บริษัทมีรายได้รวม 44,247 ล้านบาท ธุรกิจของบริษัทแบ่งสายงานออกเป็น 9 ประเภท โดยมีสาขาต่างประเทศ 3 แห่งในประเทศไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย และมีบริษัทย่อย 8 แห่งในภูมิภาคเอเชีย บริษัทยังขยายงานสู่ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก คอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป และปูนซีเมนต์ด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายงานสู่ธุรกิจสัมปทาน โดยปัจจุบันบริษัทได้รับสัมปทานจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศพม่า โครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศ และโครงการเหมืองแร่อะลูมิเนียม (Bauxite) ในประเทศลาว
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ วันที่ 1 มีนาคม 2555 BTS มีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบซึ่งรวมถึงโครงการที่ชนะการประมูลและรอลงนามในสัญญามูลค่า 128,109 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของกลุ่ม (ซึ่งรวมมูลค่างานที่อยู่ในมือที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัทย่อยในต่างประเทศ) อยู่ที่ 164,381 ล้านบาท คิดเป็น 3.7 เท่าของรายได้ในปี 2554 โดยประมาณ 65% ของงานในมือเป็นโครงการที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอินเดียและบังคลาเทศ ถึงแม้ว่ามูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัทจะอยู่ในระดับสูง แต่ประมาณ 26% ของมูลค่างานเป็นงานในโครงการก่อสร้างระยะยาวและ 36% ของมูลค่างานเป็นงานในโครงการที่มีการเลื่อนกำหนดระยะเวลาก่อสร้างออกไป ส่งผลทำให้การรับรู้รายได้และกระแสเงินสดของบริษัทต้องล่าช้าออกไปด้วย
ผลการดำเนินงานของ BTS ในปี 2554 อ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ โดยบริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิที่ 1,698 ล้านบาทในปี 2554 และ 171 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 โดยการขาดทุนเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการบริหารและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้ และสูงกว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานอย่างมาก เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจากระดับที่สูงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีมาอยู่ที่เพียง 578 ล้านบาทในปี 2554 และ 214 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานนี้ไม่เพียงพอที่จะใช้ลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงลงทุนในธุรกิจใหม่ ส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะปานกลาง โดยงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลทำให้บริษัทมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานที่มากขึ้น นอกจากนี้ แผนการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจสัมปทานที่ได้รับอาจทำให้บริษัทไม่สามารถลดภาระหนี้ลงได้
ณ เดือนมีนาคม 2555 ภาระหนี้ของ ITD อยู่ที่ 27,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,557 ล้านบาทจากเดือนธันวาคม 2554 ซึ่งภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้มาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานที่สูงขึ้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2555 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 75.6% จาก 73.1% ในปี 2554
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนมีนาคม 2555 อยู่ที่ 2.86 เท่า สูงกว่าอัตราส่วนที่กำหนดไว้ในสัญญากู้ยืมเงินที่บริษัทมีกับสถาบันการเงินที่ 1.5-2.5 เท่า และตามที่ระบุในเงื่อนไขสัญญาหุ้นกู้ที่ 2.5 เท่า ซึ่งตามสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารจะมีการทดสอบอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวทุกไตรมาส ในขณะที่เงื่อนไขในสัญญาหุ้นกู้จะทำการทดสอบอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าว ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 ของทุกปี โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 และ 14 พฤษภาคม 2555 บริษัทได้รับการพิจารณาผ่อนผันการผิดเงื่อนไขในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าว ณ สิ้นงวดเดือนมีนาคมจากธนาคารหลายแห่ง ทั้งนี้ บริษัทมีความเสี่ยงที่จะผิดเงื่อนไขในการทดสอบครั้งต่อไปค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแนวทางในการจัดหาเงินทุนได้หลายทาง อาทิ การขายเงินลงทุนหรือเพิ่มทุนโดยให้สิทธิกับผู้ถือหุ้นเดิม โดยเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2555 บริษัทได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอำนาจทั่วไปจากจำนวน 4,193.68 ล้านบาทเป็น 5,871.15 ล้านบาท ไม่ว่าบริษัทจะเลือกดำเนินการโดยวิธีใด กระแสเงินสดที่ได้ก็คาดว่าจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัท