นายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT)หรือ ทอท. เปิดเผยว่า หลังจากสนามบินสุวรรณภูมิปิดปรับปรุงพื้นที่ทางวิ่งฝั่งตะวันออกบางส่วนตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าเที่ยวบินมีปัญหาดีเลย์ประมาณ 200-300 เที่ยว จากที่ใช้บริการทั้งหมดประมาณ 850 เที่ยวต่อวัน โดยระยะเวลาที่ดีเลย์ประมาณไม่เกิน 36 นาที และมีเพียง 1 เที่ยวบินที่ขอไปลงที่สนามบินดอนเมืองแทน เนื่องจากไม่มีน้ำมันสำรอง
"ปัญหาดีเลย์ที่เกิดขึ้นมาจากหลายส่วน ไม่ใช่แค่เรื่องของการปิดปรับปรุงทางวิ่ง เช่น การดีเลย์ตั้งแต่ต้นทาง กระบวนการขนถ่ายสัมภาระ การตรวจหนังสือเดินทาง แต่การดีเลย์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น สังเกตุจากการดีเลย์ที่พบในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ที่ผ่านมา เกิดปัญหามากกว่าปัจจุบัน โดยในช่วงนั้นมีเที่ยวบินใช้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิมากถึงวันละ 1,000 เที่ยว"นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้โดยสาร ทอท.ได้มีการปรับปรุงจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศด้านทิศตะวันออกใหม่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่บริเวณชั้นลอยเหนือจุดตรวจหนังสือเดินทาง ซึ่งจะมีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 1,600 ตารางเมตร จากเดิม 490 ตารางเมตร และมีเครื่องเอ็กซเรย์สัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 12 ชุด จากเดิม 6 ชุด โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 มิ. ย.นี้ เวลา 04.00 น. เป็นต้นไป สำหรับจุดตรวจค้นนี้จะสามารถรองรับการให้บริการผู้โดยสารได้สูงถึง 3,600 คนต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2.5 เท่า โดยผู้โดยสารจะใช้เวลาในการตรวจค้นประมาณ 40-45 วินาที จากเดิมประมาณ 1 นาทีเศษ
นอกจากนั้น การเปิดจุดตรวจค้นดังกล่าวยังทำให้กระบวนการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศเปลี่ยนไป เมื่อผู้โดยสารตรวจบัตรโดยสารแล้ว ผู้โดยสารจะต้องขึ้นไปยังชั้นลอยเพื่อผ่านกระบวนการตรวจค้นร่างกายก่อนจึงลงไปจุดตรวจหนังสือเดินทาง จากเดิมที่จะตรวจหนังสือเดินทางก่อนจึงตรวจค้นร่างกาย ซึ่งผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกมากขึ้นกรณีที่ผู้โดยสารมีปัญหาเกี่ยวกับการนำของเหลว เจล สเปร์ยเกินปริมาตรที่กำหนด ก็สามารถนำไปให้ญาติที่มาส่งเดินทางได้ จากเดิมที่ต้องทิ้งอย่างเดียว และจุดตรวจค้นที่เปิดใหม่จะให้บริการกับผู้โดยสารทั่วไป ยกเว้นผู้โดยสารที่นั่งรถเข็น คนชรา และผู้โดยสารพรีเมี่ยม จะใช้บริการจุดตรวจค้นเดิม
ทั้งนี้ ประมาณเดือนส.ค.นี้ การปรับปรุงจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศด้านทิศตะวันตกจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการตรวจค้นร่างกายได้เพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงละ 7,200 คน และภายในปีนี้ทอท.ยังได้ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการจุดตรวจค้นและทางเดินขาเข้าและออกสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศใหม่ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารมีความคล่องตัวและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วย