นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร รักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ.กฤษดามหานคร(KMC) เปิดเผยถึงกรณีที่อัยการสูงสุด (อสส.) ได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามสำนวนและพยานหลักฐานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร , คณะกรรมการบริหารและพนักงาน ธนาคารกรุงไทย(KTB )และพวก ว่าร่วมกันกระทำความผิดหรือสนับสนุนการกระทำผิดฐานเป็นพนักงานหรือเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยประกอบด้วยบุคคลและนิติบุคคลหลายราย รวมทั้ง KMC ด้วยนั้น
ในส่วนของ KMC ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตดังกล่าวแต่อย่างใด โดยนิติบุคคล 3 รายที่ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย บริษัท อาร์เค โปรเฟลชั่นนัล จำกัด ,บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด รวมถึง บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือของ KMC เนื่องจากบริษัทฯ มิได้เข้าไปถือหุ้น และกรรมการบริหารของบริษัทฯ ก็มิได้เข้าไปเป็นกรรมการบริหารของทั้ง 3 บริษัท KMC จึงไม่มีอำนาจเข้าไปบริหารกิจการ หรือครอบงำการดำเนินการใดๆของทั้ง 3 บริษัท แต่เป็นของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KMC ในอดีต ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีการถือหุ้นใน KMC แล้ว
นายวิรัตน์ กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวหาว่า KMC เป็นผู้รับประโยชน์โดยตรงจากการขอสินเชื่อของ บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด , บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด และ บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งได้มีการนำเงินสินเชื่อไปซื้อหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ นั้น ในฐานะที่ KMC เป็นบริษัทมหาชน และมีการเพิ่มทุน-ลดทุน เพื่อลดการขาดทุนสะสมมาโดยตลอด ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเงินตามวิถีทางธุรกิจ และบริษัทไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเงินที่ผู้ถือหุ้นนำมาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นมาจากแหล่งใด ดังนั้น การที่ทั้ง 3 บริษัท นำเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับ KMC และบริษัทไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือร่วมดำเนินการแต่อย่างใด
"บริษัทเคยยื่นหนังสือชี้แจงต่อทั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เสียความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2550 ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 บริษัท ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งถือเป็นเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ แต่เมื่อมีการส่งฟ้อง ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งบริษัทฯก็มั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงต่อศาลฯได้ ดังนั้นขอให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนไม่ต้องกังวลต่อประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด" นายวิรัตน์ กล่าว