สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ฯ ประเมินจุดสูงสุดของดัชนี SET ในช่วงเดือน มิ.ย.55 จนถึงสิ้นปีจะไปถึง 1,294 จุด ขณะที่ปลายปีน่าจะอยู่ในระดับ 1,268 จุด จากนั้นปลายปี 56 ดัชนี SET จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเป็น 1,378 จุด ส่วน EPS ในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 21.5% และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 13.9% ในปี 56
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังเชื่อว่าช่วงเดือน มิ.ย.จนถึงสิ้นปี 55 นักลงทุนต่างชาติจะมียอดซื้อสุทธิราว 2.83 หมื่นล้านบาท สถาบันในประเทศ 1.73 หมื่นล้านบาท และพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์(บล.) 2,643 ล้านบาท รวมนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่มจะมียอดซื้อสุทธิราว 4.8 หมื่นล้านบาท
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจนักวิคราะห์หลักทรัพย์ในเดือน มิ.ย.55 ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี SET ปลายปี 55 จากเดิมที่สำรวจไว้เมื่อ 27 ธ.ค.54 ที่ระดับ 1,130 จุด มาเป็นระดับ 1,268 จุดในการสำรวจครั้งล่าสุด ปัจจัยบวกสำคัญคือเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวสูงจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลและการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งมาตรการลดนิติบุคคลเหลือ 23% ในปี 55 และ 20% ในปี 56 รวมทั้งปัญหายูโรโซนจะบรรเทาลงในที่สุด
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 55 อยู่ที่ 5.3% และปี 56 ที่ 4.8%. ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 21.5% และปี 56 เติบโต 13.9% จากเดิม (27 ธ.ค.54) คาด EPS ปีนี้เติบโต 11.61% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป(CPI)เฉลี่ยปี 55 อยู่ที่ 3.5% คงเดิมจากการคาดการณ์ครั้งก่อน และปี 56 คาด CPI ที่ 3.4%
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ 80% เห็นควรลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อกระตุ้นการบริโภค ส่วนอีก 64% เห็นควรคงอัตราดอกเบี้ยจากนี้ถึงสิ้นปี 55 ไว้เท่าเดิม
สำหรับสมมติฐานที่นักวิเคราะห์ใช้ในการประเมินเศรษฐกิจและการลงทุนในปีนี้ ปัจจัยบวกหลักคือ เศรษฐกิจไทย และ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขยายตัวสูง
ราคาทองคำ นักวิเคราะห์ที่ทำการสำรวจล่าสุดเมื่อ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา คาดการณ์ราคาทองคำในไทยในปี 55 เฉลี่ยที่ 25,336 บาท จากเดิมที่สำรวจเมื่อ 27 ธ.ค. 54 อยู่ที่ 26,868 บาท และมองสิ้นปี 56 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 25,523 บาท
นายสมบัติ กล่าวว่า จากการสำรวจนักวิเคราะห์ครั้งนี้ มองว่ากลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตรากำไรเติบโตสูงที่สุดในปี 55 ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะเติบโต 164.32% กลุ่มอาหาร 37.95% และ กลุ่มสื่อสาร 30.75% ส่วนปี 56 มองว่า อันดับหนึ่งจะเป็นกลุ่มเดินเรือ 32.67% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 24.37% และกลุ่มโรงแรม 20.09%
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(DY)ในปี 55 คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่มี DY สูงสุด ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร 6.17% กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 5.55% กลุ่มปิโตรเคมี 4.97% ส่วนปี 56 คาดว่ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ให้ DY สูงสุดที่ 6.54% กลุ่มสื่อสาร 6.19% และ กลุ่มปิโตรเคมี 5.65%
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า มีโบรกฯบางแห่งมองดัชนีปี้นี้สูงสุดที่ 1,350 จุด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ บล.ฟินันเซียไซรัส บล.กสิกรไทยและบล.ซีไอเอ็มบีที ส่วนดัชนีต่ำสุดกว่าค่าเฉลี่ยมองที่ 940 จุด คือ บล.เกียรตินาคิน
ส่วน EPS Growth ปี 56 ที่มองโต 13.9% ชะลอลงจากปี 55 ที่คาดโต 21.5% เนื่องจากปี 55 ได้เรื่องลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% จาก 30% ซึ่งเป็นตัวช่วยได้มาก แต่ปี 56 ไม่มีตัวช่วยมากขนาดนี้แล้ว
การซื้อสุทธิของต่างชาติ สถาบันในประเทศรวมพอร์ตโบรกฯที่คาด 7 เดือนหลังจะซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นรวม 4.8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ทั้งปีคาดจะซื้อสุทธิรวม 2.47 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการสำรวจครั้งล่าสุดพบว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีมองดีเกินคาด ขณะที่ปัญหายูโรโซนคาดว่าจะบรรเทาลงและชัดเจนขึ้นโดยคาดหลังเลือกตั้งกรีซแล้วคงจะผ่านไปได้ด้วยดี ขณะที่ความเสี่ยงทางการเมืองไม่ได้กังวลมาก ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมก็คาดว่าจะไม่เกิด