นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บมจ. น้ำตาลครบุรี (KBS) เปิดเผยว่า ในปี 55 คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโต 10% จากปีก่อน โดยแนวโน้มรายได้คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ประมาณ 6,150 ล้านบาท จากปริมาณการหีบอ้อยที่ 2.5 ล้านตัน ส่วนปี 56 ตั้งเป้าอ้อยเข้าหีบประมาณ 2.8 ล้านตัน หลังปริมาณพื้นที่ปลูกอ้อยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้วกว่า 53% ทำให้นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับแผนหันมาผลิตน้ำตาลทรายขาวซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าน้ำตาลทรายดิบมากขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของบริษัทในอนาคต
และจากการที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจำนวน 300 ล้านบาท ในบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด หรือ (KPP) ซึ่งจากเดิมที่มีทุนอยู่แล้ว 200 ล้านบาท โดย KPP ถือเป็นบริษัทย่อยที่ KBS ถือหุ้นอยู่ 99.99% เพื่อรองรับการขยายโครงการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานชีวมวล จากขนาดกำลังการผลิต 15 เมกกะวัต์ เป็น 35 เมกกะวัตต์ มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,638 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก KBS จำนวน 300 ล้านบาท และที่เหลือเป็นการกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้ประมาณเดือนมกราคม 57
ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลดังกล่าว เป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์จากกากอ้อยที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลให้ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะทำให้ KBS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 7-10% และจะผลักดันให้กำไรสุทธิของ KBS เพิ่มมากขึ้น 25-30% โดยจะเริ่มเห็นภาพของรายได้และกำไรสุทธิขยายตัวตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป
"รายได้ที่เกิดจากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก หากเปรียบเทียบกับฐานรายได้ของ KBS ในปัจจุบันซึ่งมาจากการขายน้ำตาลเป็นหลัก แต่ที่จะเห็นภาพชัดคือในส่วนของการกำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยคาดว่าจะผลักดันให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 25-30% อย่างไรก็ตาม KBS ไม่ได้คาดหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากไฟฟ้าให้มากกว่านี้ เพราะวัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าวคือต้องการใช้ประโยชน์จากกากอ้อยที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยธุรกิจหลักของ KBS ก็ยังคงมาจากการขายน้ำตาล" นายอิสระ กล่าว