ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 250 จุดเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง รวมถึงรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียที่ระบุว่า ดัชนีแนวโน้มธุรกิจร่วงลงอย่างหนักในเดือนมิ.ย. และยอดขายบ้านมือสองที่หดตัวลงในเดือนพ.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 250.82 จุด หรือ 1.96% ปิดที่ 12,573.57 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 30.18 จุด หรือ 2.23% ปิดที่ 1,325.51 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 71.36 จุด หรือ 2.44% ปิดที่ 2,859.09 จุด
เบเนดิค วิลลิส กรรมการผู้จัดการของบริษัท อัลเบิร์ต เฟรนด์ แอนด์ คอมพานี กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อคืนนี้มาจากรายงานของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียที่ระบุว่า ดัชนีแนวโน้มธุรกิจร่วงลงอย่างหนักมาอยู่ที่ระดับ -16.6 จุด ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกำลังส่งผลต่อกิจกรรมการผลิตในภูมิภาค การร่วงลงดังกล่าวสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าดัชนีเดือนมิ.ย.จะดีดขึ้นแตะระดับ 0.0 จากระดับ -5.8 ในเดือนพ.ค. โดยระดับ 0 ถือเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัว
การร่วงลงของดัชนีแนวโน้มธุรกิจบ่งชี้ว่า การผลิตในเขตฟิลาเดลเฟียซึ่งครอบคลุมภาคตะวันออกของรัฐเพนซิลเวเนีย ทางใต้ของรัฐนิวเจอร์ซีย์ และรัฐเดลาแวร์ด้วยนั้น มีแนวโน้มที่จะหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการใช้จ่ายผู้บริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่ซบเซา อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีวิกฤตการคลังยุโรปเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาด้านอื่นๆของสหรัฐ รวมถึงรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐที่ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลง 1.5% มาอยู่ที่ระดับ 4.55 ล้านยูนิตต่อปี ขณะที่ราคากลางของบ้านมือสองขยับขึ้นเพียง 7.9% สู่ระดับ 182,600 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐเป็นไปอย่างยากลำบาก
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 มิ.ย. ขยับลงเพียง 2,000 ราย มาอยู่ที่ 387,000 ราย จากระดับของสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 389,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3,500 ราย มาอยู่ที่ 386,250 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแรงลง
หุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของโลก ร่วงลง 4.2% ขณะที่หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.5%
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร (KBW Bank Index) ร่วงลง 2.3% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 3.9% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 2.6% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 3.4%