ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 405,740 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 25, 2012 16:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (18 — 22 มิถุนายน 2555) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 405,740 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 81,148 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 2% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 78% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 315,699 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 70,879 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 1,111 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% และ 1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB15DA (อายุ 3.5 ปี) LB176A (อายุ 5 ปี) และLB21DA (อายุ 9.5 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 19,156 ล้านบาท 11,674 ล้านบาท และ 11,279 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB12710A (อายุ 14 วัน) CB12719C (อายุ 28 วัน) และ CB12920B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 57,528 ล้านบาท 32,129 ล้านบาท และ 28,754 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกนั้น ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC136A (A)) มูลค่าการซื้อขาย 897 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK137A (A)) มูลค่าการซื้อขาย 497 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (AYCAL145A (A+)) มูลค่าการซื้อขาย 327 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น หรือโดยเฉลี่ยแล้วปรับตัวลดลงอยู่ในช่วงประมาณ -1 ถึง -6 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยในช่วงต้นสัปดาห์ เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงประมาณ -3 ถึง -7 bps. ในตราสารที่มีอายุคงเหลือระหว่าง 3 - 20 ปี โดยเฉพาะในพันธบัตรรัฐบาลรุ่น Benchmark อายุ 3 ปี และ15 ปี ที่มีการประมูลในสัปดาห์นี้และได้รับความสนใจจากนักลงทุนจึงมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งครั้งที่สองของประเทศกรีซ ที่พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ซึ่งยอมรับแผนความช่วยเหลือการเงินจากสหภาพยุโรปเพื่อแลกกับมาตรการรัดเข็มขัด) ได้รับชัยชนะและสามารถทำการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ประกอบกับผลการประชุม กนง. ในครั้งที่ผ่านมา ที่มีสัญญาณจากการประชุมว่า ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษใดๆ เพื่อรักษากรอบเงินเฟ้อให้อยู่ในช่วงที่กำหนด ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ปรับพอร์ตการลงทุนมาซื้อพันธบัตรระยะกลาง จนถึงระยะยาวมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายสัปดาห์หลังจากเฟดออกมาประกาศขยายระยะเวลาการใช้มาตรการ Operation Twist ไปจนถึงสิ้นปี 2555 โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวลดลง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน ทำให้มีแรงขายทำกำไรพันธบัตรระยะกลางถึงยาวออกมาจากนักลงทุนที่คาดว่าเฟดจะใช้มาตรการ QE3 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน และมีผลทำให้ Yield Curve ในช่วงท้ายสัปดาห์ ขยับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงต้นสัปดาห์

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า 25,678 ล้านบาท และในมูลค่าการซื้อสุทธิทั้งหมดนี้ เป็นการซื้อสุทธิในตราสารระยะยาว (มีอายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) ประมาณ 10,644 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อย (Individual) ในสัปดาห์นี้ยังคงมียอดซื้อสุทธิ ประมาณ 1,139 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ