(เพิ่มเติม) เครือสหพัฒน์ ตั้งเป้ายอดขายปี 55 โต 10%,รุกขยายฐานผลิตในปท.เพื่อนบ้าน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 28, 2012 13:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เครือสหพัฒนพิบูล ตั้งเป้ายอดขายปี 55 เติบโต 10% จากปีก่อน แม้ว่าจะมีนโยบายตรึงราคาสินค้าทุกชนิดไปถึงอย่างน้อยในสิ้นปีนี้ เนื่องจากบริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการวางแผนลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าจะมีการจัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ก่อนเกิดประชาคมอาเซียนในปี 58

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒนพิบูล เปิดเผยว่า ตั้งเป้ายอดขายทั้งเครือปี 55 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มียอดขายกว่า 1 แสนล้านบาท หลังยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ประกอบกับ มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจึงทำให้กำลังซื้อในภาพรวมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สินค้าที่พึ่งพาการส่งออกอย่างเช่นรองเท้ายอดขายลดลงไปมาก เนื่องจากตลาดหลักในยุโรปและสหรัฐฯประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ

สำหรับแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง เครือสหพัฒน์คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก หากไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้น ทั้งนี้ มองว่าภาพรวมการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันโดยรวมถือว่าดี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่สามารถควบคุมเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่ในด้านการเมืองยังมีความเสี่ยง

"กำลังซื้อและสภาพเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกยังดี แต่เรื่องที่กังวลขณะนี้คือเรื่องแรงงาน ตอนนี้คนไทยไม่มาทำงานในโรงงานที่กรุงเทพฯแล้ว เพราะตอนนี้ภาคเกษตรดีมากคนต่างจังหวัดจึงไม่ค่อยเข้ามาในกรุงเทพฯ เราก็พยายามลดการพึ่งพิงแรงงานโดยมาเน้นการเพิ่มเครื่องจักรมาทดแทน"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ กลุ่มสหพัฒนพิบูลจะมีการตรึงราคาสินค้าทุกชนิดไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าปัจจุบันต้นทุนการผลิตโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% แต่ทางกลุ่มยังสามารถควบคุมได้ ส่วนจะมีการปรับขึ้นราคาในปีหน้าหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันเป็นหลัก รวมทั้งต้องรอติดตามผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอีกด้วย

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า กลุ่มสหพัฒนพิบูลอยู่ระหว่างการศึกษาขยายฐานการผลิตสินค้าต่างๆ ออกไปในแถบประเทศเพื่อนบ้านทั้งในพม่า, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เบื้องต้นจะเริ่มจากการหาพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้า และหากได้ผลตอบรับที่ดีก็จะมีการก่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าต่อไป คาดว่าจะเปิดโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านได้ก่อนการเกิด AEC โดยอาจเริ่มจากพม่า เพราะมีการส่งสินค้าหมวดอาหารเข้าไปจำหน่ายอยู่แล้ว และยอดขายก็ถือว่าดี ประกอบกับแรงงานพม่าก็เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยอยู่แล้ว

"ตอนนี้เราก็มีแผนขยายการลงทุนไปในอาเซียนเพื่อรองรับ AEC รวมทั้งเรื่องค่าแรง ซึ่งเราก็ดูอยู่ทั้งพม่า, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คิดว่ากลุ่มอาหารน่าจะเหมาะสมซึ่งก็จะเข้าไปร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ตอนนี้ก็กำลังหาพันธมิตรเพื่อส่งสินค้าไปก่อน...ในประเทศเรายังไม่ได้ลดการลงทุน ซึ่งแต่ละปีเราก็ตั้งงบไว้หลักพันล้านบาท ครึ่งปีหลังนี้แต่ละกลุ่มก็คงมีการลงทุนอีกพอสมควร ก็มีทั้งที่ลงทุนเองและร่วมทุน แต่จะไม่มีการ takeover"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ