"สุทธิพล"เตือน EU อย่าล้วงลูกประกาศครอบงำกิจการฯ ชี้ต่างชาติแข่งใต้กม.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 28, 2012 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม เปิดเผยว่าเกี่ยวกับการหารือกับคณะผู้แทนของอียูในวันนี้ว่า ได้ให้ความกระจ่างในหลักการของการจัดทำ ร่างประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว อย่างตรงไปตรงมา

ทั้งนี้ แนวทางในการคงประกาศนี้ไว้โดยปรับปรุงแก้ไขเป็นวิธีการที่ดีที่สุดและเกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด เพราะหลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านและชั่งน้ำหนักพิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง ยังไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะไปยกเลิกประกาศนี้

แต่พบว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงประกาศฯให้เกิดความชัดเจน โดยไม่ให้เกิดปัญหาที่จะมีผู้โต้แย้งว่าเปิดให้กสทช.ใช้ดุลพินิจกว้างเกินไป และเพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการขัดต่อพันธกรณีของประเทศไทย กสทช.จึงดำเนินการในแนวทางดังกล่าว โดยในกระบวนการแก้ไขก็ได้ใช้นักกฎหมายหลายท่านที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินการ และได้รับฟังความคิดเห็นทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร

ดังนั้น จึงขอสรุปว่าร่างประกาศนี้ไม่ได้ไปสกัดกั้นการลงทุนอย่างเสรี ไม่ได้ขัดต่อพันธกรณีที่ไทยไปทำไว้กับองค์การการค้าโลก ไม่ใช่มาตรการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ที่สนใจเข้ามาแข่งขันประมูลคลื่นความถี่ 3 G แต่เป็นการป้องปรามมิให้มีการฉวยโอกาสเข้ามาประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ไม่เป็นธรรม เอาเปรียบผู้ที่เขาปฎิบัติตามกฎหมาย ฉะนั้น หากบริษัทต่างชาติหรือบริษัทไทยปฏิบัติตามกฎกติกา โดยไม่ใช้ช่องทางในการเอาเปรียบเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตแล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะได้รับผลกระทบในทางลบจากการใช้ประกาศนี้

นายสุทธิพล กล่าวด้วยว่า กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ร่างประกาศฉบับนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องการเตือนสติคนไทยด้วยกันเองว่าการวิพากษ์วิจารณ์และการสื่อสารต่อต่างชาติขอให้กระทำด้วยความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้รอบด้านเสียก่อน เนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวและอาจส่งผลเป็นการชักศึกเข้าบ้าน แม้อาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ทั้งนี้ขอให้คำนึงว่าเราทุกคนเป็นคนไทย แม้จะสวมหมวกประกอบอาชีพใดก็ยังคงเป็นคนไทยและต้องทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ

สำหรับล่าสุดที่มีการหยิบยกประเด็นในเรื่องของการกำหนด“นิยามของคนต่างด้าว" ว่ามีความเข้มงวดเกินกว่า พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 นั้นก็เกิดจากการที่ผู้วิจารณ์เข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน เนื่องจากตามร่างประกาศนี้คณะกรรมการ กสทช. หรือ กทค.มิได้เป็นผู้ใช้ดุลพินิจว่าผู้ประกอบการรายใด หรือบริษัทใดเป็นบริษัทต่างด้าวหรือไม่ เพราะเป็นการใช้นิยามของคนต่างด้าวตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

อีกทั้งร่างประกาศนี้ก็มิได้ไปห้ามคนต่างด้าวมาประกอบกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการวางกรอบให้บริษัทผู้รับใบอนุญาต หรือผู้ขอใบอนุญาต (ซึ่งเป็นนิติบุคคลไทย) ไปกำหนดข้อห้ามด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็นบรรษัทภิบาล โดยร่างประกาศฉบับนี้ได้กำหนดแนวทางปฎิบัติไว้ตามที่ปรากฎในตอนท้ายของประกาศ

อีกประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ร่างประกาศฉบับนี้อาจเป็นเหตุทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดโทรคมนาคมไทยที่มีอยู่ 3 ราย เหลือเพียงแค่ 2 ราย ที่จะมีโอกาสเข้าประมูลคลื่น 3 จีนั้น ขอเรียนให้ทราบว่า เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเป็นอย่างมาก เพราะขั้นตอนในการยื่นขอรับใบอนุญาตนั้นเป็นขั้นตอนของการตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารหลักฐานตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์การประมูล และแม้ว่าต่อมาภายหลังจะมีผู้ร้องเรียนว่ามีการฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศครอบงำกิจการฯก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนขาดคุณสมบัติทันที แต่ต้องมีการตรวจสอบตามขั้นตอน โดยร่างประกาศฉบับนี้มีความยืดหยุ่นในการเปิดโอกาสให้สามารถแก้ไขตัวโดยกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎกติกาที่กำหนดไว้ได้

สำหรับประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าร่างประกาศฉบับนี้ไม่ได้ผ่านการจัดทำ“การประเมินผลกระทบจากการกำกับดูแลที่ต้องทำเป็นรายงาน โดยต้องนำเสนอพร้อมกับเรื่องหรือร่างประกาศที่จะเสนอเข้าสู่การประชุมทุกครั้ง"หรือที่เรียกกันว่า“การทำ RIA"นั้นก็เป็นการวิจารณ์ที่คลาดเคลื่อนโดยมิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ครบถ้วนเสียก่อน โดยประเด็นเรื่องนี้ได้ข้อยุติในบอร์ด กทค. แล้วว่าการนำเสนอร่างประกาศฯ ต่อที่ประชุม กทค.เป็นไปตามระเบียบ กสทช.ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฉบับปัจจุบัน มิได้เป็นการผิดขั้นตอนของกฎหมาย หรือทำให้กระบวนการทางกฎหมายบกพร่อง

เนื่องจาก กทค.ไม่ได้มีอำนาจในการออกประกาศ ของ กสทช. ทั้งกฎหมายก็ไม่ได้ให้อำนาจ กทค. ในการปฏิบัติการในเรื่องนี้แทน และก็ไม่ปรากฏว่า กสทช.มอบอำนาจในการออกระเบียบนี้แก่ กทค.ฉะนั้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างประกาศฯ ในชั้นนี้ของ กทค. จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตอนต้นก่อนที่จะนำเสนอที่ประชุม กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการออกประกาศ กสทช. นี้

ทั้งนี้ ก็ปรากฏชัดเจนว่าในชั้นที่นำเสนอร่างประกาศเพื่อขอความเห็นชอบจาก กสทช. ในหลักการและขออนุญาตจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ก็ได้มีการเสนอรายงาน RIA ไปอย่างครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีประเด็นที่จะมีคนนำไปฟ้องร้องในศาลปกครอง หรือหากมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำคดีไปฟ้อง เราก็สามารถอ้างพยานหลักฐานยืนยันได้ ซึ่งตนเข้าใจว่าผู้วิจารณ์คงไม่ทราบข้อเท็จจริง และไม่ทราบว่า กสทช. มีการออกระเบียบว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฉบับใหม่แล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและข้อมูลรอบด้าน รวมทั้งเป็นการนำเอาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานภายในของ กสทช. มาเปิดเผย แต่ไม่ได้ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อน จึงเกิดความคลาดเคลื่อนดังกล่าว

ข้อวิพากษ์วิจารณ์อีกประเด็นหนึ่งที่มีการกล่าวอ้างว่า หากร่างประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้อาจนำไปสู่การผูกขาดในกิจการโทรคมนาคมไทย และส่งผลให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบนั้น นายสุทธิพล ชี้แจงว่า ร่างประกาศฉบับนี้จะไม่นำไปสู่การผูกขาด แต่จะทำให้การแข่งขันเป็นไปไม่ใช่แค่เสรีอย่างเดียวแต่จะต้องเป็นธรรมด้วย โดยเฉพาะกับบริษัทคนไทยที่อาศัยทุนต่างชาติจะไม่สามารถเล่นนอกกติกาได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าการตัดสินใจในการปรับปรุงประกาศฯ แทนที่จะยกเลิกประกาศเดิมไปทั้งฉบับ ดังที่มีกลุ่มผลประโยชน์รวมทั้งกลุ่มคนต่างชาติบางกลุ่มเรียกร้อง กสทช.ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบหลังจากที่มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ซึ่งเห็นว่าจำเป็นต้องคงประกาศไว้และแก้ไขเนื้อหาให้เกิดความชัดเจนขี้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติและทำให้เกิดการแข่งขันโดยเสรี และอย่างเป็นธรรม โดยบอร์ด กสทช. ชุดนี้คงไม่ยอมให้ใครมาย่ำยีผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแน่นอน

อนึ่ง สำนักงาน กสทช.ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ต่อร่างประกาศดังกล่าว ไปเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ