บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการมีโรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ปริมาณของภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ ตลอดจนระยะเวลาการฉายในโรงที่สั้นลงก่อนที่จะผลิตเป็นวิดีโอซีดี/ดีวีดี การแข่งขันจากกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ และการแพร่ระบาดของวิดีโอซีดี/ดีวีดีละเมิดลิขสิทธิ์
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำตลาดในธุรกิจโรงภาพยนตร์และรักษาผลประกอบการให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเอาไว้ได้ โดยที่การลงทุนในอนาคตหรือการจ่ายเงินปันผลควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของบริษัทอย่างรุนแรงด้วย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปเป็นผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 80% โดยพิจารณาจากรายได้รวมของภาพยนตร์ที่เข้าฉายในสัปดาห์แรก บริษัทก่อตั้งในปี 2537 โดยนายวิชา พูลวรลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 37% บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ โรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ สื่อและโฆษณา การให้เช่าพื้นที่และบริการ รวมถึงการจัดจำหน่ายวิดีโอซีดี/ดีวีดีและลิขสิทธิ์ภาพยนตร์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปดำเนินกิจการโรงภาพยนตร์ 53 แห่ง ด้วยจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งสิ้น 383 จอ และที่นั่งมากกว่า 93,700 ที่ โดยมีโรงภาพยนตร์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 28 แห่งและในต่างจังหวัด 25 แห่ง บริษัทมีสาขาโบว์ลิ่งและคาราโอเกะจำนวน 25 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยโบว์ลิ่ง 440 ราง และห้องคาราโอเกะ 302 ห้อง นอกจากนี้ บริษัทยังบริหารจัดการพื้นที่ให้เช่าขนาด 49,086 ตารางเมตร (ตร.ม.) ด้วย สำหรับในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงนั้น บริษัทขยายโรงภาพยนตร์ไปยังแหล่งศูนย์กลางธุรกิจและชุมชนสำคัญหลายแห่งโดยใช้ตราสัญลักษณ์หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าหลาย ๆ กลุ่ม
ในส่วนของธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัทเผชิญกับปัจจัยที่เป็นผลกระทบด้านลบที่ไม่สามารถควบคุมได้หลายประการที่อาจลดทอนความต้องการชมภาพยนตร์นอกบ้าน อย่างไรก็ตาม รายได้จากการเข้าชมภาพยนตร์ขึ้นอยู่กับจำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉาย รวมถึงคุณภาพและความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ด้วย ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ผลประกอบการของธุรกิจโรงภาพยนตร์ของบริษัทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นแม้จะเกิดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากรายได้จากภาพยนตร์ขึ้นอยู่กับความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์เป็นสำคัญ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถจัดตารางการฉายภาพยนตร์เพื่อให้ได้รับรายได้ที่ดีที่สุด อีกทั้งการชมภาพยนตร์ในโรงยังเป็นความบันเทิงในรูปแบบที่มีราคาไม่แพงและสามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยเฉพาะเมื่อมีโรงภาพยนตร์ครอบคลุมทั่วประเทศ ผลประกอบการของบริษัทได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ รวมถึงยังไม่มีกิจกรรมสันทนาการใดที่สามารถทดแทนประสบการณ์จากการชมภาพยนตร์ในโรงได้อย่างสมบูรณ์
ในปี 2554 บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปมีรายได้รวมถึง 6,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากปีที่ผ่านมาอันเป็นผลจากการมีภาพยนตร์ที่ใช้งบลงทุนสูงเข้าฉายหลายเรื่องและรายได้จากธุรกิจโฆษณาที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา คิดเป็น 1,667 ล้านบาทเนื่องจากการมีภาพยนตร์ที่เป็นที่นิยมเข้าฉายหลายเรื่องและรายได้จากการจัดจำหน่ายวิดีโอซีดี/ดีวีดีและลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพิ่มสูงขึ้น บริษัทมีรายได้จากธุรกิจภาพยนตร์คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับ 29% ในปี 2553-2554 แต่ลดลงสู่ระดับ 26% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารประกอบกับต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากค่าเช่าเครื่องฉายดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น หนี้สินรวมของบริษัทปรับตัวลดลงแต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยหนี้สินรวมของบริษัทลดลงจาก 3,540 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 สู่ระดับ 2,994 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555
ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมรายการปรับปรุงภาระค่าเช่าดำเนินงานระยะยาว) ของบริษัทลดลงจาก 58.3% ในปี 2553 สู่ระดับ 52.1% ในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 50.3% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เนื่องจากมีการจ่ายคืนหนี้เงินกู้ ทริสเรทติ้งคาดว่างบลงทุนของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 800-1,000 ล้านบาทต่อปี
สภาพคล่องของบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานยังคงอยู่ในระดับที่เกินกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีมาตั้งแต่ปี 2548 และปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,200 ล้านบาทในปี 2553 และ 1,218 ล้านบาทในปี 2554 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 318 ล้านบาท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 18.2% ในปี 2553 สู่ระดับ 21.3% ในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 5.8% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 4.0 เท่าในปี 2553 เป็น 4.2 เท่าในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 4.7 เท่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555