นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) เปิดเผยถึงแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศว่า บริษัทเตรียมเปิดสาขาที่ประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยช่วงแรกจะจัดตั้งสำนักงานขนาดเล็กภายในปีนี้ ซึ่งช่วงเริ่มต้นอาจยังไม่มีการทำธุรกรรมเต็มที่ เพราะต้องศึกษาในแง่กฎหมายและกฎระเบียบให้ชัดเจนก่อน ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นหลายราย ทั้งสถาบันการเงินและทำธุรกิจเช่าซื้อ เพื่อการขยายธุรกิจใน 2 ประเทศดังกล่าว
การเตรียมแผนการลงทุนใน 2 ประเทศนั้น เนื่องจากบริษัทเห็นว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการรถจักรยานยนต์มาก โดยอินโดนีเซีย เป็นตลาดใหญ่ที่มีผู้ใช้รถจักรยานยนต์มากเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและอินเดีย เพราะมีประชากรจำนวนมากและประชากรก็มีรายได้เพิ่มข้นมาก ส่วนเวียดนามที่มีการใช้รถจักรยานยนต์มากเช่นกัน
ส่วนโอกาสการลงทุนในพม่านั้น บริษัทเห็นว่ายังไม่เหมาะสมเข้าไปขยายตลาด แม้จะมีประชากรจำนวนมาก แต่ประชากรยังมีรายได้น้อยอยู่
นายประพล กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน และมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะทำสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง จากปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 625 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตสินเชื่อคงค้างปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8.3 พันล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากไตรมาส 1/55 พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 2/55 พอร์ตฯจะเติบโตเพิ่มเป็น 7.9 พันล้านบาท
บริษัทเชื่อว่ายังเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มกำลังมามีกำลังการผลิตกลับมาปกติตั้งแต่ไตรมาส 2/55 ส่งผลถึงความต้องการสินเชื่อมีมากขึ้น ประกอบกับ ภาคเกษตรมีรายได้สูงขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนแรกปี 55 คาดว่ายอดขายรถจักรยานยนต์จะทะลุ 1 ล้านคัน แต่อาจชะลอลงบ้างในช่วงไตรมาส 3/55 เพราะเป็นช่วงเพาะปลูกของเกษตรกร และในไตรมาส 4/55 จะกลับมาดีที่สุด โดยคาดว่าตลาดรถจักรยานยนต์ปีนี้จะมียอดขายทะลุ 2.2 ล้านคัน
นายประพล กล่าวว่า ในช่วงใตรมาส 2/55 บริษัทมีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ลดลงมาที่ไม่เกิน 4% จากไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 4.1% และจะลดลงต่อเนื่องเหลือ 3% ในไตรมาส 3/55
ด้านนางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ TK กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ วงเงิน 500 ล้านบาท อายุ 3 ปีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยขณะนี้รอดูทิศทางดอกเบี้ยก่อนพิจารณาออกขายหุ้นกู้ และในสัปดาห์นี้จะมีการออกตั๋วเงิน(B/E) อายุ 2 เดือน วงเงิน 100 ล้านบาท เป็นการขายผ่านกองทุนรวม ซึ่งระดมทุนเงินไว้ใช้บริหารจัดการสภาพคล่อง
ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนการเงินราว 4% โดยมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 4 พันล้านบาท เป็นหนี้ระยะยาว 80% และหนี้ระยะสั้น 20% ดังน้นความผันผวนของดอกเบี้ยในตลาดจะไม่กระทบกับต้นทุนของบริษัทมากนัก