นายอนุวัฒน์ จงยินดี ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า นับจากนี้ไปบริษัทจะให้ความสำคัญกับการเข้าไปขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียมากขึ้น แทนการเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม เนื่องจากสถานการณ์ทุกอย่างค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ประกอบกับอินโดนีเซียก็มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังไม่ล้มเลิกการลงทุนในเวียดนาม แต่อาจจะชะลอไปก่อนเพื่อรอจังหวะมี่เหมาะสมจึงค่อยกลับเข้าไปลงทุนใหม่ เนื่องจากปัจจุบันเวียดนามยังมีปัญหาเรื่องค่าเงินดอง จึงทำให้มีความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่น ๆ ในพม่า หลังจากที่เข้าไปทำธุรกิจเทรดดิ้งแล้ว ซึ่งการที่บริษัทจะตัดสินใจทำธุรกิจใดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ลูกค้า, ทำเลที่ตั้ง, วัตถุดิบ เป็นต้น โดยทางรัฐบาลพม่าจะออกใบอนุญาตทำธุรกิจแต่ละด้านไป ซึ่งบริษัทก็มีการหารือถึงเข้าไปลงทุนในพม่ามาโดยตลอด
"บริษัทมีการลงทุนในประเทศพม่ามานานแล้ว แต่จะเป็นในลักษณะของการเทรดดิ้งสินค้า ทำให้บริษัทรู้จักสภาพแวดล้อมของประเทศพม่าเป็นอย่างดี"นายอนุวัฒน์ กล่าว
นายอนุวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทยังมองหาโอกาสการเข้าไปลงทุนในประเทศนอกภูมิภาคเอเชียด้วย โดยขณะนี้สนใจที่จะเข้าไปลงทุนในตะวันออกกลาง ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและปิโตรเคมี เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าประเทศไทย อีกทั้งการทีเศรษฐกิจในประเทศสำคัญอย่างสหรัฐฯและกลุ่มยุโรปมีปัญหา ก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปซื้อกิจการ เพื่อจะได้สินทรัพย์ในราคาที่ถูกลง
"เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ทั้งอียูที่เกิดปัญหา สหรัฐฯแทนที่จะ up ก็ down ส่วนจีนและอินเดียเศรษฐกิจก็ชะลอตัว ดังนั้นการที่ เราจะเข้าไปซื้อกิจการในต่างประเทศก็จะได้ราคาที่ถูกลง แต่ก็ต้องขึ้นอยู๋กับจังหวะด้วย"นายอนุวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่บริษัทให้ความสำคัญในขณะนี้ คือ วิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งบริษัทและประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุน โดยบริษัทก็มีการประเมินความเสี่ยงเรื่องการลงทุนอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งได้มีการทำประกันความเสี่ยงทุกด้านไว้แล้วทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและน้ำมัน เป็นต้น