ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) ทำสถิติปิดบวกเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ หลังเจพีมอร์แกน เชส รายงานผลประกอบการณ์ที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 203.82 จุด หรือ 1.62% ปิดที่ 12,777.09 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 22.02 จุด หรือ 1.65% ปิดที่ 1,356.78 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 42.28 จุด หรือ 1.48% ปิดที่ 2, 908.47 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลประกอบการของเจพีมอร์แกน เชส เป็นข้อมูลที่นักลงทุนจับตาดูมากที่สุด เนื่องจากเป็นธนาคารแรกที่เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยชี้นำตลาดในอีกหลายวันถัดไป
เจพีมอร์แกนเปิดเผยว่า ธนาคารสามารถทำกำไรไตรมาส 2 ราว 5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.21 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ผลกำไรของธนาคารลดลง 9% จากระดับ 5.43 พันล้านดอลลาร์ หรือจากระดับ 1.27 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดทุนในธุรกิจเทรดดิ้งเป็นวงเงินสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ จากหน่วยงาน Chief Investment Office ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านบริหารความเสี่ยงของเจพีมอร์แกน โดยตัวเลขดังกล่าวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุน 4 พันล้านดอลลาร์
นอกจากการรายงานผลประกอบการของเจพีมอร์แกน เชส แล้ว ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนยังบ่งถึงการขยายตัวที่ระดับ 7.6% ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในช่วง 3 ปี แต่ก็สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดวอลล์สตรีท และสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน
หุ้นเจพีมอร์แกนพุ่งขึ้น 6% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ดีดตัวขึ้น 3.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดัวขึ้น 4.6% และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 5.4%
อย่างไรก็ตาม หุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด ดิ่งลง 1.9%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กสามารถต้านทานปัจจัยลบจากรายงานของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนก.ค. ร่วงลงสู่ระดับ 72 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ จากระดับ 73.2 จุดในเดือนมิ.ย. เนื่องจากตลาดแรงงานมีสัญญาณการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย