ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 460,201 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 16, 2012 17:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (9 — 13 กรกฎาคม 2555) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวม 460,201 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 92,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 13% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 75% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 343,299 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 94,843 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 3,579 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% และ 1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.9 ปี) LB21DA (อายุ 9.4 ปี) และ LB155A (อายุ 2.85 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 22,167 ล้านบาท 18,587 ล้านบาท และ 18,192 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น BOT157A (อายุ 3 ปี) CB12731A (อายุ 14 วัน) และ CB12O11B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 50,876 ล้านบาท 49,931 ล้านบาท และ 43,801 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกนั้น ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC128A (BBB+)) มูลค่าการซื้อขาย 396 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (AYCAL132A (A+)) มูลค่าการซื้อขาย 379 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC136A (A)) มูลค่าการซื้อขาย 364 ล้านบาท เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น หรือปรับตัวลดลงอยู่ในช่วงประมาณ -2 ถึง -8 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ทั้งนี้ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps. จาก 1.0% ต่อปี มาอยู่ที่ 0.75 %ต่อปี ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ที่ยังคงอ่อนแอ พร้อมกับการที่ยังไม่มีสัญญาณใดๆ จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่าจะมีมาตรการใหม่ๆ เพื่อออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ (อย่างเช่น QE3 ที่ตลาดคาดการณ์ไว้) แต่ Fed กลับเลือกที่จะต่ออายุของมาตรการ Operation Twist ออกไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะคงที่ในระดับต่ำ และอาจปรับตัวลดลงได้อีกในอนาคต จึงมีผลทำให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย เข้าซื้อพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวมากขึ้น ส่งผลให้ Yield ของพันธบัตรในช่วงอายุดังกล่าวปรับตัวลดลง

ในช่วงท้ายสัปดาห์ มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบางเนื่องจากมีการนัดฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 (ศุกร์ที่ 13 ก.ค.) ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ และมีความกังวลว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รุนแรงหรือไม่ และส่งผลให้มีการพักเงินในพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 2,229 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการขายสุทธิ 3,587 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย (Individual) ที่ถึงแม้จะมีมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์นี้ยังคงมียอดซื้อสุทธิ 1,278 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ