นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 47(KTSUPB47)เสนอขายในวันที่ 18-25 ก.ค.55 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ
กองทุนนี้จะลงทุนในเงินฝากประจำ Standard Chartered Bank(Hong Kong)Ltd.และ เงินฝากประจำ Union National Bank (UNB )ในสัดส่วน 40% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารภาครัฐไทย,เงินฝากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ตั๋วแลกเงิน บจ.อยุธยาแคปิตอล ออโต้ ลีสซิ่ง และตั๋วแลกเงินของ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี โดยเงินลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ จะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน 4(KTSIV6M4)ประเภท Roll Over เสนอขายถึงวันที่ 20 ก.ค.เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในเงินฝาก /บัตรเงินฝาก และตั๋วแลกเงินของภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.95% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุน ขายผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ
ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ยังมีแนวโน้มการปรับลดลง โดยเป็นผลจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน รวมถึงได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ตลอดสัปดาห์ตลาดการเงินรอผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในที่สุดคำตัดสินใจที่เผยแพร่ออกมาไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง และไม่เกิดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
สำหรับปัจจัยภายนอก ตลาดการเงินยังให้ความสำคัญกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ซึ่งแสดงสัญญาณถดถอยมาต่อเนื่อง และเริ่มส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่ ทำให้เห็นกระแสการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตั้งแต่คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป จีน เกาหลีใต้ และบราซิล ภาวะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั้งในไทยและต่างประเทศจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงปลายปีนี้
ส่วนตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าค่าเงินยูโรจะมีทิศทางอ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.22 ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ หลังการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประชาคมยุโรป แต่ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 31.50—31.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยนสวอปปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย สะท้อนความกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศลดลง ซึ่งจะเป็นผลบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ