หุ้น TOP ราคาขยับขึ้น 0.82% มาอยู่ที่ 61.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 192.61 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.40 น. โดยเปิดตลาดที่ 60.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 61.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 60.50 บาท
ขณะที่ดัชนี SET อยู่ที่ 1,222.30 จุด ลดลง 1.91 จุด(-0.16%)เมื่อเวลา 10.40 น.
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ถือ"หุ้น บมจ.ไทยออยล์(TOP) ให้ราคาพื้นฐาน 66.00 บาท เนื่องจากราคาหุ้น TOP underperform ตลาดตั้งแต่สิ้นปี 2554 (TOP +3.8%, SETENERG +3.5%, SET +19.4%) ซึ่งประเมินได้ตอบสนองปัจจัยลบต่าง ๆ ไปแล้ว
รวมถึงคาดจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจระดับมหภาคใน 2H55 เริ่มมีสัญญาณด้านบวก ได้แก่ ค่าการกลั่นสูงขึ้น เนื่องจากสเปรดน้ำมัน Murban-Dubai และราคาน้ำมันลดลง ขณะที่สเปรดเชื้อเพลิงอากาศยาน/LPG สูงขึ้นทำให้ค่าการกลั่นโดยรวมของ TOP เพิ่มเล็กน้อย QoQ และดีขึ้นเมื่อเทียบกับค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ที่ลดลงในช่วงเวลาเดียวกัน
ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นแข็งแกร่ง ราคาราคาน้ำมันหล่อลื่นที่ปรับตัวขึ้นตามฤดูกาลช่วยผลักดันมาร์จินของน้ำมันหล่อลื่น จึงน่าจะทำให้ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นของ TOP มีผลประกอบการโดดเด่นใน 2Q55 และธุรกิจไฟฟ้าฟื้นตัว คาดว่าผลกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าของ TOP จะฟื้นตัวในไตรมาสสองหลังโรงไฟฟ้า IPT ของ TOP เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิคใน 1Q55
สำหรับปัจจัยลบในปัจจุบันได้แก่ คาดการณ์ขาดทุนสุทธิถึง 7.07 พันลบ. ใน 2Q55 การปรับลดประมาณการอุปสงค์น้ำมันอย่างต่อเนื่องและกำลังการกลั่นใหม่ที่ทยอยเข้ามาในตลาดโลกรวมถึงอุปสงค์ที่ยังไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงต่อค่าการกลั่นใน 2H55 ทั้งนี้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นของ TOP 33% เพื่อสะท้อนการปรับฐานของราคาน้ำมันดิบและสมมติฐานราคาน้ำมันล่าสุด แต่ปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการกลั่นจากเพียง 4 เหรียญต่อบาร์เรลใน 1Q55 เป็น 4.6 เหรียญต่อบาร์เรล
TOP จะประกาศผลการดำเนินงาน 2Q55 วันที่ 7 ส.ค.คาดจะขาดทุนสุทธิถึง 7.07 พันลบ.จากขาดทุนจากสินค้าคงเหลือสูงถึง 9 พันลบ.หลังราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างรุนแรง รวมถึงคาดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้อีกประมาณ 700 ลบ. จากเงินบาทที่อ่อนค่าขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์มีสเปรดอ่อนตัวลงและปริมาณการผลิตทรงตัว โดยราคา PTA ที่ลดลงคาดกดดันเสปรดพาราไซลีนของ TOP และแม้ว่าราคาเบนซีนจะยังคงแข็งแกร่ง