นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคาร มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/2555 (งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบ) ที่ 10,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.9% จากกำไรสุทธิที่ 8,132 พันล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ปัจจัยหลักขับเคลื่อนกำไรสุทธิที่ดีมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอันเป็นผลจากการขยายตัวที่ดีด้านสินเขื่อ รายได้ที่แข็งแรงของธุรกิจประกัน และการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมบริการ แม้ว่าคุณภาพของสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นมาก โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2540 แต่เพื่อความระมัดระวัง ในไตรมาสนี้ธนาคารจึงได้ตั้งสำรองเพิ่มเติมจากเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย
“ผลประกอบการของธนาคารตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจอย่างครบวงจรของกลุ่มธนาคารซึ่งสอดรับกับความสามารถในการฟื้นตัวที่รวดเร็วของเศรษฐกิจไทยหลังจากประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และแม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่เป็นอันมากจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่ความต้องการด้านสินเชื่อโดยเฉพาะจากลูกค้ารายย่อยยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งธนาคารได้มีการขยายสินเชื่อตามการเติบโตของตลาด แต่ด้วยความรอบคอบและคงไว้ ซึ่งมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง" นายวิชิต กล่าว
โดยในไตรมาส 2/2555 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้น 20.9% จากไตรมาส 2/2554 มาอยู่ที่ 15 พันล้านบาท เป็นการขยายตัวที่สูงสุดของธนาคาร อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่ออย่างมากถึง 20.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผลตอบแทนด้านสินเชื่อและจากการลงทุนของธนาคาร การขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่าตลาดมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ สินเชื่อ SME สินเชื่อเคหะ และ สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งธนาคารได้มีการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากการที่ลูกค้ามีความต้องการในสินเชื่อดังกล่าวในระดับสูงเกินคาดหมาย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.22% สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 19.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการเติบโตที่แข็งแรงต่อเนื่องของรายได้จากธุรกิจประกัน (เพิ่มขึ้น 42.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว) กำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรต และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่สูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทประกันชีวิตที่ธนาคารถือหุ้นอยู่ 94.7% ยังคงมีผลประกอบการที่สูงกว่าตลาดโดยรวมอันเป็นผลจากการขายผ่านเครือข่ายสาขาที่แข็งแรงของธนาคาร
คุณภาพสินทรัพย์ ยังปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องแม้มีปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจโลกและมีผลกระทบจากสภาวะน้ำท่วมในปีที่ผ่านมาอยู่บ้าง ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2555 สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงมาอยู่ที่ 2.25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2540 (ลดลงมาจากระดับ 2.69% ณ สิ้นไตรมาส 2/2554 และ 2.39% ณ สิ้นไตรมาส 1/2555) อย่างไรก็ตามจากสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากและประเมินค่อนข้างยาก ธนาคารได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวังและทำการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านบาทเพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 140.2% จากเดิม 114.5% ณ สิ้น ไตรมาส 2/2554 และ 127.1% ณ สิ้นปี 2554