DRT เชื่อรายได้-กำไรปี 55 โตถึง 12-15%จากเป้า 10%หลัง 5 เดือนโตเกินคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 20, 2012 15:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพฑูรย์ กิจสำเร็จ กรรมการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร(DRT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการในปี 55 ทั้งรายได้และกำไรน่าจะเติบโตถึง 12-15% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โต 10% จากปี 54 ที่มีรายได้ 3,706.75 ล้านบาท และกำไร 460.13 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 5 เดือนแรกสามารถทำได้เกินเป้าแล้ว ซึ่งน่าจะส่งผลให้รายได้และกำไรช่วงครึ่งแรกของปี 55 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อน แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริษัทยังไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ขณะที่ต้นทุนการผลิตโดยรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจากแรงงานและราคาวัตถุดิบ เนื่องจากยังได้รับการชดเชยจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงเหลือ 23% ส่วนช่วงถือที่เหลือของปีนี้จะปีการปรับขึ้นราคาหรือไม่ก็คงต้องขึ้นอยู่กับราคาวัตถุดิบในช่วงนั้นๆ แต่บริษัทก็พยายามลดต้นทุนด้านอื่นลงเป็นการบรรเทาภาระไปอีกทางหนึ่งด้วย

"ตอนนี้การปรับราคาค่อนข้างลำบาก เพราะการแข่งขันก็ยังรุนแรง สินค้าบางชนิดก็มีการกำหนดเพดานไว้ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเรายังไม่มีการขึ้นราคา แต่เราก็พยายามลดต้นทุนต่างๆ รวมทั้งได้เรื่องภาษีที่ลดลงเหลือ 23% ช่วยชดเชย คิดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อน"นายไพฑูรย์ กล่าว

สำหรับรายได้ของบริษัทในช่วงต้นปีนี้ได้รับอานิสงส์จากการซ่อมแซมบ้านที่อยู่อาศัยหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 54 ประกอบกับ ยอดขายในต่างจังหวัดและต่างประเทศก็ปรับตัวขึ้นมาก โดยตลาดส่งออกหลักของบริษัทอยู่ในแถบประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว, กัมพูชา และพม่า ซึ่งปีที่ผ่านมาก็ประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นเดียวกับไทย ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศคิดเป็น 12-15% ของยอดขายรวมของบริษัท

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังก็น่าจะสูงกว่าจากช่วงครึ่งปีแรก หลังบริษัทเตรียมเดินเครื่องสายการผลิตใหม่ NT-10 ซึ่งมีกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 7.2 หมื่นตัน ในช่วงเดือน ก.ย.ถึงต้นเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ โดยปัจจุบันการติดตั้งเครื่องจักรต่างๆแล้วเสร็จแล้ว 99% และอยู่ระหว่างทดลองการผลิต ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการรับรู้รายได้จากการเดินเครื่องสายการผลิต NT-10 เข้ามาประมาณ 300 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงงานผลิตอิฐมวลเบา ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับที่ดินและคัดเลือกผู้รับเหมา โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 56 ถึงต้นปี 57 ซึ่งจะสร้างรายได้ให้บริษัทปีละไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท โดยปัจจุบันความต้องการอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนทำให้สินค้าไม่เพียงพอ เนื่องจากมีความคงทน น้ำหนักเบา และใช้เวลาในการประกอบผนังเร็วกว่าการก่ออิฐฉาบปูน

นายไพทูรย์ กล่าวว่า กรณีการห้ามใช้ใยหินเป็นส่วนประกอบในการผลิตกระเบื้องหลังคารูปลอนโค้งนั้น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ แต่บริษัทก็ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ดังนั้น หากรัฐบาลมีมติให้เลิกใช้ใยหินจริงก็คงไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก เพราะปัจจุบันบริษัทหันมาผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ฝาผนัง ซึ่งไม่ได้ใช้ใยหินในการผลิตมากขึ้น ขณะที่สายการผลิตของบริษัทก็เหลือเพียงไม่กี่สายที่ยังใช้ใยหินอยู่ และทุกสายการผลิตก็สามารถเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าอื่นๆได้ทันที


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ