บลจ.ฟินันซ่า ออกกองทุนตราสารหนี้-เงินฝาก อายุ 3 เดือน ผลตอบแทน 3.25%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 23, 2012 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟินันซ่า เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัส โรล โอเวอร์ 3เดือน3 (FAM FIPR 3M3) ตั้งแต่ 23-27 กรกฎาคมนี้ ด้วยประมาณการผลตอบแทนที่ 3.25% ต่อปีสำหรับการลงทุน 3 เดือน โดยเป็นกองทุนโรลโอเวอร์ที่ครบกำหนดแล้วและเปิดขายรอบถัดไป โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท

FAM FIPR 3M3 เป็น specific fund หรือกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน มีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ที่มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือ เงินฝาก ของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)

ในครั้งนี้เราจะลงทุนในเงินฝากธนาคารต่างประเทศ สกุลเงิน USD หรือ CNY กับธนาคาร BOC, Macao, ธนาคาร CIMB, Niaga, Indonesia หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1) ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ เงินฝาก AED ธนาคาร Union National Bank,UAE(P-1) ) หรือ เงินฝากธนาคารและ/หรือตั๋วเงินและ/หรือหุ้นกู้ ตราสารหนี้ บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB) ตั๋วเงิน หรือ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ขึ้นไป ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้จะเปิดให้มีการซื้อและขายคืนหน่วยลงทุน ทุก ๆ 3 เดือนโดยประมาณ นับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนและ/หรือ เงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ในระยะเวลานานประมาณ 3 เดือนสำหรับการลงทุนแต่ละรอบ กองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเราจะทำการการป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน

นายธีรพันธ์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลงตามที่ไอเอ็มเอฟ (IMF) คาดการณ์ล่าสุดในกลางเดือน ก.ค. 55 ที่ผ่านมาในขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศต่างเริ่มลดดอกเบี้ย เช่น ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในหนึ่งเดือน แต่เศรษฐกิจประเทศไทยกลับแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ เพราะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกิจกรรมการผลิตจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตที่ดีขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปลายปีทีผ่านมา และสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยเร่งตัวขึ้นมาก การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนไทยก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน เกิดแรงกดดันให้ต้นทุนการเงินเริ่มปรับสูงขึ้น ในภาวะดังกล่าวนี้ที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจภายนอกและภายในประเทศ จึงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะหนึ่งเพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทยให้เห็นทิศทางที่ชัดเจน

ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะกับสถานการณ์ที่ทิศทางดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจน เพราะถ้าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นจนครบกำหนดแล้ว ปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ย ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในกองทุนตราสารหนี้กองใหม่ต่อโดยไม่เสียโอกาสจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบาย ผู้ลงทุน ก็สามารถปรับแผนการลงทุนใหม่ให้เหมาะกับสถานการณ์เช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ