นางสาววันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/55 จะสูงกว่าไตรมาส 1/55 หลังมีการรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ได้มีการจ่ายไฟฟ้าแล้วเพิ่มขึ้น 9 โครงการ จากไตรมาส 1/55 ที่รับรู้รายได้จากการจ่ายไฟ 6 โครงการ ซึ่งรายได้และกำไรจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาสตามการรรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้มั่นใจว่าปีนี้จะพลิกกลับมีกำไรได้ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน 11.79 ล้านบาท และรายได้เติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 100% เนื่องจากปีนี้มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 20% หลังจากโซลาร์ฟาร์มโครงการที่ 10 เป็นต้นไปจะมีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 7.47 เมกะวัตต์ จากโครงการที่ 1-9 ที่มีกำลังผลิตติดตั้งเพียง 6.123 เมกะวัตต์ เนื่องจากมีการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ซึ่งกำลังผลิตติดตั้งที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้แต่ละโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านบาท/ปี จากกำลังผลิตเดิมที่สร้างรายได้ 105 ล้านบาท/ปี
บริษัทได้ตั้งงบลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อและควบรวมกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ได้แก่ การเข้าซื้อสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จำนวน 6 เมกะวัตต์ จากบริษัท เอเจ เทคโนโลยี และบริษัท ทิพยนารายณ์ จำกัด โดยมี adder 8 บาท เป็นเวลา 10 ปี และการควบรวมกิจการกับบริษัท ไทยโซลาร์ฟิวเจอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจติดตั้งโซลาร์ฟาร์มบนหลังคาบ้าน ทั้งนี้จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติในเดือน ส.ค.55
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนโซลาร์ฟาร์มในต่างประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เบื้องต้นจะมีข้อสรุปการลงทุนในญี่ปุ่นกับบริษัท เคียวเซร่าภายในปีนี้