ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวลง 13 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 12,632 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ล่วงหน้า ลดลง 0.2% แตะที่ 1,340.8 จุด ณ เวลา 7.32 น.ตามเวลานิวยอร์ก โดยดัชนีล่วงหน้าได้ปรับตัวลงในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สินในยุโรปที่ย่ำแย่ลง ในขณะที่ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอาจจะชะลอตัวลงต่อไปอีก
ตลาดมีปัจจัยถ่วงจากการที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ลงสู่ "เชิงลบ" จากเดิมมีเสถียรภาพ โดยระบุถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน
มูดีส์เปิดเผยในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของทั้ง 3 ประเทศในครั้งนี้ มูดีส์พิจารณาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นว่า กรีซอาจจะต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะ "วิกฤตการณ์ภาคการเงินแบบลูกโซ่" และจะทำให้เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และประเทศอื่นๆที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดนั้น ต้องแบกรับภาระในการให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนคาดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอาจจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 7.4% ในไตรมาส 3 พร้อมกับเตือนว่า ราคาผู้ผลิตและเงินเฟ้ออาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนของบริษัทที่ทำธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม และส่งผลกระทบต่อความต้องการในการขยายกิจการ
ในวันนี้ เอชเอสบีซี โฮลดิงส์เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีน ปรับตัวขึ้นแตะ 49.5 ในเดือนก.ค. แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตยังอยู่ในภาวะหดตัว