(เพิ่มเติม) SCCเชื่อกำไร H2/55สูงขึ้นตามสเปรดปิโตรฯ,ทบทวนแผน 5 ปีแต่ยังเน้นอาเซียน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 25, 2012 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดว่า กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไร 1.03 หมื่นล้านบาท ตามรายได้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 2.03 แสนล้านบาท พร้อมทั้งปรับเพิ่มรายได้ในปีนี้เป็นมากกว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4 แสนล้านบาท แต่ยอมรับว่ายังกังวลผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปและจีน

บริษัทประเมินว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะมียอดขายสูงขึ้นและจะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากไตรมาส 2/55 มีผลขาดทุน 1 พันล้านบาท เนื่องจากสเปรดของเคมีภัณฑ์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ปัจจุบันสเปรดเฉลี่ย 3 สัปดาห์แรกของเดือนก.ค.อยู่ที่ 435 เหรียญ/ตัน และคาดว่าจะเปลี่ยนจากขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ(stock loss)มาเป็นมีกำไร(stock gain)แทน

ทั้งนี้ ไตรมาส 2/55 สเปรดเฉลี่ยอยู่ที่ 494 เหรียญ/ตัน จากไตรมาส 1/55 ที่มีสเปรดเฉลี่ยที่ 375 เหรียญ/ตัน แต่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์ตึงเครียดในซีเรียทำให้ราคานาฟทารีบาวน์ขึ้นมาที่ 880 เหรียญ/ตัน และสัปดาห์ล่าสุดนาฟทาปรับลงไป 830-840 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปรับขึ้นช้ากว่า ทำให้มาร์จิ้นยังอยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดกว่า 1 ล้านตันซึ่งน้อยมากจากยอดรวม 130-140 ล้านตันของตลาดโลก

"Chemical โดยรวมดูมาร์จิ้นดี แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องของดีมานด์ แต่ผลประกอบการของบริษัทจะค่อยๆกระเตื้องขึ้นในไตรมาส 3 และดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4"นายกานต์กล่าว

นายกานต์ กล่าวว่า ยอดส่งออกของบริษัทในครึ่งปีแรก ยังเติบโต 9% หรือมีมูลค่าส่งออก 5.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28% โดยตลาดหลักยังเป็นตลาดอาเซียนที่มีสัดส่วน 39% ตลาดจีนและฮ่องกงสัดส่วน 18% ที่เหลือเป็นตลาดอื่นๆ ขณะที่ตลาดยุโรปและสหรัฐไม่เกิน 5% ทั้งนี้ คาดว่ายอดส่งออกไปอาเซียนคงจะเหลือไม่ถึง 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทจะลงทุนขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนมากขึ้น

บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามแผนลงทุน 5 ปี(ปี 56-60) แต่จะมีการทบทวนรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ที่มีการตั้งงบประมาณไว้ 2 แสนล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่างบลงทุนเกินกว่าครึ่งหนึ่งยังคงจะเน้นลงทุนภายในอาเซียน เช่น แผนลงทุนในพม่าราว 1 หมื่นล้านบาททั้งธุรกิจปูนซิเมนต์ ขนาด 5 พันตัน/วัน หรือ 1.7-1.8 แสนตัน/ปี, โรงไฟฟ้า ขนาด 40-60 เมกะวัตต์ และธุรกิจโลจิสติกส์ ส่วนในอินโดนีเซียจะเข้าลงทุนธุรกิจปูนซิเมนต์ 1 โรง ขนาด 5 พันตัน/วัน คาดใช้งบ 1 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

"เราได้เข้าพบกับทางเมียนมาร์เป็นรายแรก เข้าพบประธานาธิบดีเต็งเส่งและรัฐมนตรีประมาณ 35 นาทีหารือเรื่องลงทุนโรงปูนซิเมนต์ในพม่า รวมถึงโรงไฟฟ้าที่ป้อนในโรงงานและโลจิสติกส์ คาดว่าใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ทางเมียนมาร์ให้ความสนใจคาดว่าจะมีความคืบหน้าไปได้ด้วยดี ที่สำคัญเรารอเรื่อง investment law ซึ่งเขาบอกว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ คาดว่าจะผ่านไปได้เร็วๆนี้"นายกานต์ กล่าว

ขณะที่โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามยังอยู่ในแผนลงทุน 5 ปีด้วย และยังคงงบประมาณไว้ที่ 4,500 ล้านเหรียญ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์การเงินโลกหลังเกิดวิกฤติหนี้ในยุโรป เพราะมีโอกาสที่การหาแหล่งเงินกู้อาจจะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น และจากพูดคุยกับทางญี่ปุ่นก็พบว่ามีความกังวลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคาดว่าปลายปีนี้น่าจะมีความชัดเจน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ