นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของบริษัทและเครือธนาคารกสิกรไทยว่า จะมุ่งขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น โดยบริษัทจะเน้นขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัดที่มีการเติบโตของ GDP สูงให้เข้มแข็งมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้าขยายสาขาที่ปัจจุบันมี 28 สาขา เปิดเพิ่มอีก 24 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 14 สาขา และต่างจังหวัดอีก 10 สาขา รวมสิ้นปีนี้จะมีจำนวนถึง 52 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดทำโครงการ“KS The Young Turk Investor Season 3"ที่ให้ความรู้กับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 200 คนเข้ามาศึกษาอบรมจากผู้เชี่ยวชาญและได้การลงทุนในตลาดหุ้นจริง โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนหน้าใหม่สนใจกว่า 13,000 คน จากปีแรกมีผู้สนใจสมัครเพียง 1,500 คน และ ปีที่ 2 เพิ่มเป็น 4,100 คน โดยในปีนี้ได้ขยายการแข่งขันไปในทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย แบ่งเป็น 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, อุดรธานี, ชลบุรี และภูเก็ต มุ่งหวังว่าโครงการนี้จะช่วยขยายฐานเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าสัดส่วนของปริมาณการซื้อขายหุ้นระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในปี 56 ไว้ที่ 85 ต่อ 15 โดยจะเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนจากต่างจังหวัดเข้ามาจากเดิมอยู่ที่ 90 ต่อ 10 โดยการให้ความรู้กับนักลงทุนรายใหม่ และจัดสัมมนาเพิ่มความรู้ให้กับนักลงทุนรายเก่า
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ปัจจุบันจะเห็นว่าธุรกิจต่างๆ ในประเทศเริ่มขยายตัวไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสในการหานักลงทุนรายใหม่ได้อีกมาก ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เองได้ร่วมกับพันธมิตรเดินสายให้ความรู้กับนักลงทุนทั้งในกรุงเทพฯและขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมการลงทุนและสัมมนาต่างๆ
ด้านนายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า โครงการ KS The Young Turk Investor Season 3 ถือเป็น 1 ในโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด KS Investment Academy ของบริษัทฯ ซึ่งยังมีอีกหลายโครงการ ผู้ได้รับคัดเลือกจำนวน 200 คนจากทั่วประเทศจะได้รับเงินทุนรายละ 50,000 บาท เพิ่มขึ้น 20,000 บาทจากปีที่แล้ว โดยจะได้รับประสบการณ์การลงทุนจริงในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อจบการแข่งขันผู้ชนะอันดับ 1-3 จะได้รับรางวัลเป็นเงินสดเท่ากับกำไรที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันในพอร์ตการลงทุนของตนเอง ส่วนกำไรของผู้แข่งขันรายอื่นจะนำมารวมกันเพื่อนำไปบริจาคให้มูลนิธิการกุศลต่อไป
สำหรับปีที่ผ่านมาผู้แข่งขันเกือบ 100% ตัดสินใจลงทุนต่อในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งโครงการนี้ถือว่าได้ตอบโจทย์การลงทุนที่ผู้แข่งขันหาคำตอบให้กับตนเองได้ว่าชอบการลงทุนแบบไหนระหว่างระยะสั้นหรือระยะยาว