นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการบริหาร บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรกไม่แตกต่างจากครึ่งแรกปีก่อน แม้ว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกจะปรับลดลง แต่ราคาขายเป็นไปสัญญาล่วงหน้าที่ทำไว้เมื่อปีที่แล้วที่ราคาถ่านหินยังสูงอยู่ ส่วนครึ่งปีหลังยังประเมินยาก แต่ก็เชื่อว่ารายได้จากการขายถ่านหินน่าจะชะลอลงตามราคาในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายที่รักษาระดับกำไรของปีนี้ไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 1,043 ล้านบาท ถึงแม้แนวโน้มธุรกิจถ่านหินอยู่ในทิศทางขาลงจากผลกระทบราคาถ่านหินในตลาดโลก แต่บริษัทยังมีธุรกิจเอทานอลที่คาดว่าปีนี้จะพลิกมีกำไรจากที่ขาดทุนในปีก่อนเข้ามาชดเชย
"ปีนี้พยายาม maintain ผลดำเนินงานไม่ต่ำกว่าปีก่อน ธุรกิจถ่านหินอาจ drop ลงแต่กำไรจากเอทานอลดีขึ้น รวมแล้วก็น่าจะชดเชยกันไปทำให้ผลการดำเนินงานรวมทั้งปีไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน หรือไม่น่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ"นายอนันต์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าปริมาณขายถ่านหินในปีนี้ที่ราว 5.5 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนที่มีปริมาณขาย 5.13 ล้านตัน แต่จะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่คงต้องรอดูแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง
"จะปรับเป้าหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ได้มีการดูเรื่องนี้ แต่ครึ่งแรกไม่น่าเป็นประเด็น รายได้รวมไม่ต่ำกว่าปีก่อน ถึงแม้ถ่านหินอาจจะตกไปบ้างแต่เอทานอลดีขึ้น ตอนนี้กำลังมองแนวโน้มครึ่งหลังยังต้องประเมินใหม่กำลังดูกันอยู่ เพราะมีแนวโน้มว่าธุรกิจถ่านหินจะแย่ลง โดยเฉพาะราคาถ่านที่ลดลง แต่ถึงแม้ครึ่งหลังเป็น sideway down แต่เราก็จะพยายามเมนเทนท์ผลดำเนินงานทั้งปีไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อน"นายอนันต์ กล่าว
สำหรับธุรกิจเอทานอลในปีนี้เชื่อว่าจะมีกำไรแน่นอน เป็นการพลิกฟื้นจากปีก่อนที่ประสบภาวะขาดทุน เนื่องจากในปีนี้ราคาวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต คือ กากน้ำตาลปรับลดลงมาเหลือประมาณ 3,000 บาท/ตัน จากปีก่อนสูงถึง 5,000 บาท/ตัน ขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ซึ่งบริษัทขายผลผลิตเอทานอลที่ได้ให้กับตลาดในประเทศทั้งหมด
ส่วนกรณีที่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) เคยสนใจจะเข้าถือหุ้นใน บมจ.ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ (TAE) ซึ่ง LANNA เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น นายอนันต์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังไม่มีการนำเรื่องนี้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังไม่มีการเข้ามาเจรจารอบใหม่แต่อย่างใด
นายอนันต์ กล่าวถึงแผนลงทุนซื้อเหมืองใหม่ว่า ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย 1 แห่ง ซึ่งในเรื่องราคาซื้อขายนั้นบริษัทคงจะเจรจากับผู้ขายใหม่อีกครั้ง หลังจากแนวโน้มราคาถ่านหินยังเป็นขาลง ก็เชื่อว่าราคาซื้อขายก็น่าจะต้องปรับลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ในเบื้องต้นว่าการซื้อเหมืองแต่ละแห่งอาจจะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ซื้อเหมืองใหม่ ดูไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนและราคาถ่านก็ปรับลงและอีกหลายๆ เรื่อง เพราะ 2 เหมืองที่มีอยู่ SGP และ LHI ผลิตได้อีกหลาย 10 ปี ส่วนยุโรปและสหรัฐถ้ามีปัญหาเราไม่ได้ส่งขายด้านสหรัฐแต่ลูกค้าหลักเราอยู่เอเชียจึงไม่กระทบ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน จึงต้องประเมินและทบทวนอยู่ตลอดเวลา"นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวอีกว่า การลงทุนในอนาคตยังไม่น่าห่วง เพราะบริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวง (SCCC) และเป็นลูกค้าหลักที่คอยสนับสนุนอยู่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าการซื้อเหมืองเป็นประโยชน์ในอนาคตและได้สัมปทานระยะยาวแบบเหมืองทั้ง 2 แห่งที่มีอยู่ ซึ่งเป็นสัมปทานที่ต่างชาติถือหุ้นตรงได้ บริษัทก็พร้อมจะเข้าลงทุน เพื่อประโยชน์ในอนาคต ขณะที่บริษัทไม่มีภาระหนี้ และจ่ายปันผลได้เกือบ 100% จากนโยบายที่กำหนดไว้แค่ 60% ของกำไรสุทธิ