(เพิ่มเติม) ลีสซิ่งกสิกรไทย ปรับเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้เป็น 8 หมื่นลบ.จากเดิม 6 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 1, 2012 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อปีนี้เป็น 80,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่และลีสซิ่งรถยนต์ไปแล้วกว่า 41,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 50.74% จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ และปัจจัยบวกของนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก

"บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง ตามตลาดรถยนต์ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยบวกของนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายเวลาการรับส่งมอบรถยนต์สำหรับนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกตามที่กระทรวงการคลังเสนอออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ผู้ขอใช้สิทธิ์ต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ประกอบกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง"นายอัครนันท์ กล่าว

ทั้งนี้ สินเชื่อครึ่งปีแรกปี 55 แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์ใหม่ 21,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.35% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) 19,968 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.96% ด้านยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ของบริษัทฯ อยู่ที่ 75,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว 24.67% และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ของครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0.87% ดีกว่าเป้าที่คาดหมายไว้คือ 1.18%

สำหรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง บริษัทคาดการณ์พอร์ตสินเชื่อ (Portfolio Composition Management) ในครึ่งปีหลัง จะมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรถยนต์นั่ง (Passenger Cars) เป็น 65% โดยจำแนกเป็นรถอีโคคาร์ 30% และรถยนต์นั่งอื่นๆอีก 70% รถกระบะและรถประเภทอื่น ๆ(Pick-Up)เป็น 35% อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าและคู่ค้าอย่างครบวงจรและให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดในการใช้บริการผลิตภัณฑ์ รวมถึงการออกแคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของลีสซิ่งกสิกรไทย และการให้บริการที่มีคุณภาพ มากกว่าการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ย

ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศช่วงครึ่งหลังของปี 55 ว่า ยอดขายรถยนต์รวมปี 55 น่าจะทะลุถึง 1.28-1.35 ล้านคัน หรือขยายตัวประมาณ 61-70% และยังคงมีโอกาสขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งในด้านปริมาณและอัตราการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ ทั้งนี้เป็นผลมาจากอุปสงค์ต่อรถยนต์ในตลาดที่สูงมากในปัจจุบัน โดยได้รับอานิสงส์มาจากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก

ประกอบกับ การที่รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาหลายรุ่นในช่วงก่อนหน้านี้ก็เป็นรุ่นที่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการคืนภาษี ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ครึ่งปีแรกสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงสุด 604,833 คัน มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 40% โดยแบ่งสัดส่วนเป็นรถยนต์นั่ง 266,879 คัน เพิ่มขึ้น 33% รถเพื่อการพาณิชย์ 337,954 คัน เพิ่มขึ้น 46 % ด้านตลาดรถยนต์ประเภทอีโคคาร์ในปีนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดขายในประเทศกว่า 150,000 คัน ซึ่งยอดผลิตรวมประมาณ 250,000 คัน

ส่วนตลาดรถมือสองในปีนี้แม้ว่าอาจจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากมีรถยนต์ใหม่ที่เปิดตัวออกมาสู่ตลาดค่อนข้างมาก และหลายรุ่นมีระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก ผนวกกับเมื่อมีนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกก็ทำให้ราคาขายรถหลายรุ่นถูกลงกว่าราคาจริง แต่จากปัจจัยดังกล่าวที่ทำให้รถยนต์มือสองในตลาดมีแนวโน้มถูกลง และเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ใหม่ที่มีราคาใกล้เคียงกันแล้ว ผู้ซื้อจะได้รถยนต์มือสองรุ่นที่มีคุณสมบัติสูงกว่า นอกจากนี้การที่ผู้ซื้อไม่ต้องรอรถนาน ปัญหาดังกล่าวนี้ตลาดรถยนต์ใหม่กำลังเผชิญอยู่ เนื่องจากความสามารถในการผลิตเพื่อส่งมอบรถยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์ยังไม่สามารถตอบสนองครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในตลาดได้หมด ทำให้รถมือสองมีโอกาสขยายตัวได้ในบางกลุ่มผู้บริโภค

ขณะที่ครึ่งปีหลังจากพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้นน่าจะทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น พร้อมกันนั้น บริษัทปรับพอร์ตให้เน้นไปที่สินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทในครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรกด้วย

นายอิสระ กล่าวว่า ปีหน้ายังคงเป็นปีทองของตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รับอานิสงส์จากการจองรถยนต์ในโครงการถคันแรกที่จะรอรับในปีหน้า ส่วนวิกฤติยุโรปมองว่าจะไม่กระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะมีสัดส่วนเพียง 5% ของตลาด และไทยเองก็ได้ปรับลดการส่งออกไปยุโรปบ้างแล้ว สินเชื่อรถยนต์ในปีหน้าก็จะได้รับผลดีต่อเนื่องจากปีนี้เช่นเดียวกัน ขณะที่คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะทะลุ 3 ล้านคัน แต่สัดส่วนหลักจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ