บมจ.เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์(SNC)คาดว่า ในปี 55 กำไรสุทธิจะเติบโต 20% ตามเป้าหมาย เนื่องจากในครึ่งปีแรกบริษัททำกำไรได้แล้วราว 300 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของรายได้ทั้งปีก็คงจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 8.3 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 4 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทได้ปรับสัดส่วนรายได้ชิ้นส่วนยานยนต์เป็น 12-15% จากเดิม 8%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 58 จะแตะระดับ 1.5-2 หมื่นล้านบาท หลังจากมีการวางแผนพร้อมลุยตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยมีแนวทางทั้งการลงทุนและเปิดตลาดเอง, ร่วมทุน และ ซื้อกิจการ โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรญี่ปุ่น-ไต้หวัน พร้อมทั้งเตรียมเงินสดในมือส่วนหนึ่ง และสามารถจะกู้เงินเพิ่มได้อีกส่วนหนึ่งรวมกว่า 3-4 พันล้านบาท
นายสมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานกรรมการบริหาร SNC กล่าวว่า ครึ่งแรกปี 55 บริษัทมีกำไร 300 ล้านบาทเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีบริษัทจะมีกำไรเติบโตได้ 20% จากก่อนปีก่อนที่มีกำไร 530 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้คาดว่าอยู่ระดับใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่เพิ่งส่งคำสั่งประกอบชิ้นส่วนแอร์เมื่อเดือน พ.ค.และลูกค้าบางรายอยู่ระหว่างการเปลี่ยนโมเดล ทำให้คำสั่งซื้อต่างๆ ล่าช้าออกไป ทั้งนี้คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 56
สำหรับปีนี้รายได้หลักยังมาจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า 82-85% แต่รายได้จากธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มสัดส่วนขึ้นมาที่ 12-15% จากปี 54 อยู่ที่ 8% ซึ่งปีนี้คำสั่งซื้อเกี่ยวกับชิ้นส่วนแอร์บ้านลดลง แต่มีคำสั่งซื้อจากชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังดีอยู่ ช่วยชดเชยรายได้ในส่วนแรกได้เป็นอย่างดี
ขณะที่การเตรียมพร้อมรับมือ AEC บริษัทเตรียม 3 แนวทาง คือ 1.การเปิดตลาดด้วยตนเอง ซึ่งบริษัทได้สำรวจในทุกประเทศแถบอาเซียนแล้ว ทั้งลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า พร้อมทั้งเตรียมบุคลากรและพัฒนาคนในพื้นที่ไว้รองรับการขยายงาน 2.ร่วมทุนกับบริษัทที่ชำนาญทั้งญี่ปุ่นและไต้หวัน ซึ่งขณะนี้มีการเจรจากับพันธมิตรไว้แล้วและมีตลาดในอาเซียนรองรับ 3. การซื้อกิจการ ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมเงินลงทุนเป็นเงินสด 1 พันล้านบาท และจัดหาเพิ่มได้อีก 2-3 พันล้านบาท ดังนั้นภายใน 2 ปีนี้บริษัทยังไม่มีความจำเป็นเพิ่มทุน
ทั้งนี้ การเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นและไต้หวัน อยู่ในขั้นตอนการเจรจาด้านเทคโนโลยี และมูลค่าการลงทุน แต่ยังไม่มีข้อสรุป
บริษัทคาดว่าในปี 58 บริษัทจะมีรายได้ 1.5-2 หมื่นล้านบาท จากการเตรียมเปิดตลาดอาเซียน โดยปัจจุบันได้เริ่มนำสินค้าไปเปิดตลาดบ้างแล้วทั้งในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่การขยายฐานการผลิตนั้นยังมีความกังวลเรื่องแรงงานระดับกลางที่อาจเกิดปัญหาขาดแคลนขึ้นได้