ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 442,177 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 6, 2012 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ ((30 กรกฎาคม — 3 สิงหาคม 2555) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวม 442,177 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 110,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 23% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 74% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 328,533 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 80,264 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 7,515 ล้านบาท หรือคิดเป็น 18% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น ILB217A (อายุ 8.9 ปี) LB15DA (อายุ 3.4 ปี) และ LB21DA (อายุ 9.3 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 14,973 ล้านบาท 12,529 ล้านบาท และ 12,036 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB12821A (อายุ 14 วัน) CB13801A (อายุ 1 ปี) และ CB12N01C (อายุ 90 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 47,897 ล้านบาท 41,411 ล้านบาท และ 28,259 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI12NA (A+)) มูลค่าการซื้อขาย 1,108 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MBTH12OA (AAA)) มูลค่าการซื้อขาย 696 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK137A (A)) มูลค่าการซื้อขาย 657 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวขึ้นลงในกรอบแคบๆ หรืออยู่ในช่วงประมาณ -3 ถึง +1 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ยกเว้นผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ปรับตัวลดลงกว่า 10 Basis Point โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการซื้อ (Demand) ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ของการประมูลพันธบัตรรุ่นอายุดังกล่าว จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง (ราคาเพิ่มขึ้น) ตามไปด้วย ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่อนข้างนิ่งและทรงตัวเมื่อเทียบกับในช่วงหลายๆสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ในกลุ่มยูโรโซน และความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกดดันกับการลงทุนทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก หลังจากที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังไม่มีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างเช่นมาตรการ QE 3 ตามที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต่างก็คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของตนเองเอาไว้ที่ระดับ 0.75% และ 0.5% ตามลำดับ จากการประชุมที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ต่างๆ ที่ค่อนข้างคงที่และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างรอดูความชัดเจนต่อไปอีกช่วงระยะหนึ่ง และมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในตลาตราสารหนี้ไทยไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ของไทย รายงานตัวเลขเงินฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ประจำเดือนกรกฏาคม 2555 ขยายตัวที่ระดับ 2.73% (yoy) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนมิถุนายน 2555 ที่ขยายตัวที่ระดับ 2.56% (yoy) แต่หากพิจารณาตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) พบว่าขยายตัวที่ระดับ 1.87% (yoy) ลดลงจากเดือนมิถุนายน ที่ขยายตัวที่ระดับ 1.92% (yoy)

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 30,934 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการ ซื้อสุทธิ เพียง 5,262 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย (Individual) ในสัปดาห์นี้มียอดขายสุทธิ 222 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ