ทริสฯ คงเครดิตองค์กร SC ที่ “BBB+"และหุ้นกู้ที่ “BBB" แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 7, 2012 18:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) ที่ระดับ “BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB" โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนภาวะขาดแคลนแรงงานและต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทมีสถานะต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กร 1 ขั้นเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนของเงินกู้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์ในระดับสูง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาฐานะการเงินและสถานะทางธุรกิจในระยะสั้นถึงปานกลางให้คงอยู่ได้ ทั้งนี้ อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรจะลดลงเพราะสัดส่วนรายได้ที่ลดลงของอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้นจากธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่าด้วย การลดลงของความสามารถในการทำกำไร และ/หรือการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอย่างมีนัยสำคัญจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SC เป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในเดือนสิงหาคม 2532 โดยหลังจากที่กลุ่มตระกูลชินวัตรซื้อกิจการในปี 2538 บริษัทก็เริ่มดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าโดยเริ่มพัฒนา “อาคารชินวัตร 3" เป็นโครงการแรก หลังจากนั้น บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจโดยขยายสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2546 โดยยังคงมีกลุ่มตระกูลชินวัตรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 60.31% ของหุ้นทั้งหมด ณ เดือนพฤษภาคม 2555 สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทมีหลากหลายประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม บริษัทเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดเล็กถึงขนาดกลางเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ โครงการในปัจจุบันของบริษัทเน้นลูกค้าระดับรายได้ปานกลางถึงสูงซึ่งมีราคาขายที่ 5-100 ล้านบาทต่อหลังสำหรับบ้านเดี่ยว ราคา 3.5-8.0 ล้านบาทสำหรับทาวน์เฮ้าส์และโฮมออฟฟิศ ส่วนคอนโดมิเนียมมีราคาขายอยู่ที่ 60,000-150,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงปี 2554 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 รายได้จากบ้านเดี่ยวยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็น 74% ของรายได้รวม รายได้จากคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์รวมกันคิดเป็นประมาณ 12%-15% ส่วนรายได้จากค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 11%-14% ของรายได้รวม

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายของ SC เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 8,102 ล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้น 62% จาก 5,014 ล้านบาทในปี 2553 ยอดขายในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 3,886 ล้านบาทจาก 2,875 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 ทั้งนี้ การเติบโตของยอดขายเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 และอัตราการขายที่ดีขึ้นในโครงการปัจจุบัน ยอดขายบ้านเดี่ยวในปี 2554 ยังคงแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% จากปี 2553

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 ทำให้ยอดขายลดลง 33% เป็น 1,655 ล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 อย่างไรก็ตาม การลดลงของยอดขายบ้านเดี่ยวได้รับการชดเชยจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2555 ยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 อยู่ที่ 1,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 265 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการด้วยมูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 โดยยอดขายทั้งปี 2555 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล

รายได้รวมจากโครงการที่อยู่อาศัยของ SC เพิ่มขึ้นเป็น 6,526 ล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้น 12% จาก 5,823 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบ้านเดี่ยวในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยลดลงเล็กน้อยเป็น 1,207 ล้านบาทจาก 1,419 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยรายได้จากบ้านเดี่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการเติบโต ในขณะที่รายได้จากค่าเช่ายังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอโดยอยู่ที่ประมาณ 830 ล้านบาทต่อปีในปี 2552-2554

ความสามารถในการทำกำไรของ SC อยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 38-40% ของรายได้ในช่วงปี 2553 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงจาก 24.82% ในปี 2553 เป็น 20.92% ในปี 2554 และลดลงเป็น 16.84% ในไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจากการสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงเทียบเคียงได้กับคู่แข่ง

ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่สูงขึ้นจากการขยายโครงการที่มากขึ้นในปี 2554 จนถึงช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 มีผลบั่นทอนความเข้มแข็งของกระแสเงินสดของบริษัท ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจาก 29.13% ในปี 2553 เป็น 12.70% ในปี 2554 และลดลงเป็น 2.62% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในไตรมาสแรกของปี 2555 จาก 8.45% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงเดียวกันของปี 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 45.00% ณ เดือนมีนาคม 2555 จากระดับ 31.81% ในปี 2553

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีฐานะการเงินที่คล่องตัวในระดับที่ยอมรับได้เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 2,310 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ