นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ กล่าวมั่นใจว่าในครึ่งปีหลังธุรกิจจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในไตรมาสที่สี่จะเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจอีกครั้ง หลังจากผลประกอบการในงวดครึ่งปีแรกมีผลประประกอบการลดลง
ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว หรือ Steel Billet ในครึ่งปีหลังว่ายังเติบโตต่อเนื่องได้ จากความต้องการใช้เหล็กในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ยังคงขยายตัวอย่างชัดเจน รวมทั้งการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ประกอบกับในช่วงไตรมาสที่ 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงฤดูการขาย (High Season) เนื่องจากหมดฤดูฝน ทำให้การก่อสร้างต่างๆ เริ่มเดินหน้าได้อย่างเต็มตัว สนับสนุนให้การใช้เหล็กเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดีอย่างต่อเนื่องได้
CHOW ชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ว่าเปลี่ยนแปลงลดลงจากงวดเดียวกันของปี 2554 ในขณะที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 2,784.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากปี 2554 ที่ทำได้ 2,777 ล้านบาท ในขณะที่ปริมาณการขาย ในงวดครึ่งปีแรก2555 มีจำนวน 142,785 ตัน เพิ่มขึ้น 247 ตันจากงวดครึ่งแรกปี 2554 ที่มีจำนวน 142,538 ตัน ซึ่งมีปริมาณการขายที่ใกล้เคียงกัน
โดยผลกำไรที่ลดลง เนื่องมาจากได้รับผลพวงจากไตรมาสที่ 1/55ที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจากต้นทุนเศษเหล็กที่มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ราคาขายทรงตัว ประกอบกับการชะลอการสั่งซื้อในช่วงไตรมาส 1/2555 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 69.33 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 46.4 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 129.43 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 2/2555 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 59.28 ล้านบาท ในงบเฉพาะกิจการ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ100.6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 29.55 ล้านบาท สาเหตุจากราคาขายที่มีการปรับเพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มกำลังการผลิตก่อให้เกิดการประหยัดต้นทุนต่อขนาดได้เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการควบคุมกระบวนการผลิตที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดช่วยลดต้นทุนการผลิต
"ไตรมาสที่ 2/55 เราพลิกกลับมามีกำไรที่เติบโตอย่างโดดเด่นอีกครั้ง เพราะราคาขาย Steel Billet ได้ปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและราคาขายได้กลับมาอยู่ในอัตราที่เป็นปกติอีกครั้ง จึงสะท้อนให้กำไรสุทธิกลับมาอยู่ในระดับที่เติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไตรมาสที่ 1/55 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากปัญหาวัตถุดิบราคาสูงกว่าปกติ ในขณะที่ไม่สามารถปรับราคาขายได้ทัน จึงทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวลดลง และมีผลให้ผลประกอบการในงวดครึ่งปีแรกของปี 2555 ได้ลดลงตามไปด้วย" นายอนาวิลกล่าว