ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ส.ค.) หลังจากเยอรมนีเปิดเผยว่าเศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัวในไตรมาส 2 และสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่ส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.6% ปิดที่ 270.54 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3450.27 จุด บวก 23.86 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 6974.39 จุด บวก 64.71 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5864.78 จุด บวก 32.90 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เยอรมนีในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัว 0.3% จากไตรมาสแรก เพราะได้แรงหนุนจากการส่งออกเติบโตมากกว่าการนำเข้า ขณะที่การบริโภคทั้งในภาคครัวเรือน ภาครัฐบาลรวมถึงภาคเอกชนก็เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก
ด้านกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐขยายตัว 0.8% ในเดือนก.ค. ทำสถิติขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งคาดว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากอุปสงค์ที่ปรับตัวขึ้นในวงกว้างนับตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วขึ้นในไตรมาสที่ 3
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากรายงานการประชุมของบีโอเจที่ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของบีโอเจกล่าวว่า บีโอเจควร "พร้อมที่จะใช้มาตรการที่เหมาะสมโดยไม่ต้องตัดทิ้งทางเลือกใด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาหนี้ยุโรป" พร้อมกับกล่าว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่บีโอเจจะต้องมุ่งเน้นในเรื่องความเหมาะสมของการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
หุ้นสแตนดาร์ด ไลฟ์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของสก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 15%หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นแตะระดับ 302 ล้านปอนด์ หรือ 474 ล้านดอลลาร์
หุ้น Moeller-Maersk ซึ่งเป็นบริษัทคอนเทนเนอร์รายใหญ่ของยุโรป ดีดตัวขึ้น 3.2% หลังจากบริษัทสามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในไตรมาสที่ 2 เพราะได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางสินค้า