นายวิน วิริยะประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาอินดัสตรี(SSI)กล่าวว่า ผลประกอบการปี 55 จะยังคงขาดทุนสุทธิ เนื่องจากครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสูงมากถึง 7.8 พันล้านบาท แม้ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้จะทำสถิติสูงสุด และครึ่งปีหลังแนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้นแต่คงไม่สามารถชดเชยผลขาดทุนในช่วงที่ผ่านมาได้ทั้งหมด
บริษัทคาดว่าผลงานครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้ตั้งสำรองผลขาดทุนสต็อกไปมากแล้ว และราคาเหล็กช่วงครึ่งปีหลังน่าจะทรงตัว จากที่ลดลงไปต่ำสุดในเดือน มิ.ย.55 เห็นได้จากราคาเหล็กขณะนี้ปรับขึ้นมาแล้ว และความต้องการเหล็กครึ่งปีหลังก็เชื่อว่าจะดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังมีความต้องการใช้ค่อนข้างมาก เมื่อราคาเหล็กทรงตัวก็จะทำให้ความสามารถการทำกำไรของบริษัทกลับมาระดับสู่ปกติ
ประกอบกับ โรงถลุงเหล็กในอังกฤษจะใช้กำลังการผลิตได้ถึง 90% ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งจะทำให้ภาวะต้นทุนปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีการผลิต PCI จะทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ตันละ 30 กว่าเหรียญตั้งแต่เดือนม.ค.56 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สินค้าของบริษัทสามารถแข่งกับผู้ประกอบการรายอื่นได้
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 6 หมื่นล้านบาท ถือว่าสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา จากเดิมในอดีตที่เคยทำสถิติไว้ 4.8 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายเหล็กแท่งแบนจากโรงถลุงเหล็กในอังกฤษที่เข้ามาเสริม ทำให้ยอดขายจะเข้าเป้าหมายที่คาดไว้ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ากำลังการผลิตจากโรงเหล็กรีดร้อนในไทย 2.2 ล้านตัน และโรงถลุงเหล็กในอังกฤษ 2 ล้านตัน
"ภาวะการค้าเหล็กค้าตั้งแต่ต้นปีดีมาตลอด มองดีมานด์ในประเทศปีนี้สูงสุด 6.3 ล้านตัน จากที่เคยสูงสุด 5.9 ล้านตัน โดยไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.6 ล้านตัน ไตรมาส 2 ลดลงมาที่ 1.4 ล้านตันเพราะมีวันหยุดมาก เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะตีกลับขึ้นมา และจบที่ 6.3 ล้านตันได้ โดยเฉพาะความต้องการใช้เหล็กแผ่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังสูง"นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวถึงแผนเพิ่มทุน 413 ล้านเหรียญสหรัฐและการดึงพันธมิตรใหม่ Vanomet จากสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ค้าเหล็กและมีความชำนาญด้านเหล็กรายสำคัญของโลกเข้าถือหุ้นว่า หลังการขายหุ้นเพิ่มทุนกลุ่มสหวิริยาจะยังคงถือหุ้นใหญ่ใน SSI ในสัดส่วน 35% โดยจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมและส่วนที่จะจัดสรรขายให้กับนักลงทุนทั่วไป รวมทั้งเชื่อว่าพันธมิตรจะเข้ามาใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน ถึงแม้ราคาเสนอขาย 0.68 บาท/หุ้นจะสูงกว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
"ราคาหุ้นเพิ่มทุนน่าจะสะท้อนมูลค่าธุรกิจที่แท้จริงของ SSI และมูลค่าทางบัญชี(BV)ที่อยู่ในระดับ 1 บาทกว่า และเมื่อดูมูลค่าการลงทุนของบริษัทราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ ราคาขายหุ้นเพิ่มทุนก็จะสะท้อนมูลค่าการลงทุน พันธมิตรคงเข้าใจในธุรกิจและความคุ้มค่าในการลงทุน แม้ราคาจะสูงกว่าตลาดและก็ถูกกว่าไปลงทุนเอง"นายวิน กล่าว
สำหรับราคาหุ้น SSI ที่เทรดค่อนข้างต่ำในขณะนี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้ซื้อขายกันต่ำกว่า BV มาก โดยเฉพาะจากความกังวลราคาเหล็กและราคาน้ำมันกดดันคาหุ้น SSI ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งราคาเหล็กในปีนี้อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเดือนมิ.ย.ส่งผลให้ไตรมาส 2/55 บริษัทมีผลขาดทุนมาก
การเข้ามาของกลุ่มพันธมิตรใหม่ หากใช้สิทธิเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามที่กำหนดไว้ ก็น่าจะเข้ามาถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 20% แต่คงไม่ถึง 25% แต่ก็ขึ้นกับผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นจะเข้ามาใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นจะชัดเจนภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งการที่ Vanomet เข้ามาเป็นพันธมิตรจะทำให้บริษัทมีช่องทางการจัดหาวัตถุดิบที่ดีขึ้น เพราะเป็นบริษัทใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ มีเน็ตเวิร์กทางการค้าที่ดี มีแบงก์สนับสนุนทางกการเงิน จะเข้ามาเสริมช่องทางการจัดหาวัตถุดิบและการค้าได้ดี