นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) คาดปี 55 กำไรโตเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาที่ 6% จากปีก่อนอยู่ที่ 4% หลังจากบริษัทเน้นการควบคุมต้นทุน แม้ว่ารายได้ของบริษัทมีแนวโน้มว่าจะพลาดเป้าหมายจาก 2.7 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.2-2.3 หมื่นล้านบาท หลังจากโครงการขยายโครงข่าย 3G เฟส 2 ของบมจ.ทีโอที และงานโครงการภาครัฐเปิดประมูลล่าข้ากว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ งวดครึ่งปีแรก SAMART มีรายได้ 8,024 ล้านบาท กำไรสุทธิ 501 ล้านบาท
"รายได้ปีนี้ไม่ถึงเป้า แต่กำไรถึงเป้าแน่ เรารวม 3G เฟส 2 ไว้ใน projection ที่อาจจะเป็นปลายปีเซ็นสัญญา หรือไม่ก็ต้นปีหน้า...กำไรครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่า (ทั้งปี)น่าจะเกิน 1 พันล้านบาท เพราะช่วงนี้ภาครัฐเร่งประมูลงาน"นายวัฒน์ชัย กล่าว
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า บริษัทได้เข้าไปหาดูลู่ทางธุรกิจในพม่าแล้วหลังจากเริ่มนำเข้าโทรศัพท์มือถือที่มีภาษาพม่าไปจำหน่าย และคาดว่าภายในปีนี้จะเข้าไปขยายธุรกิจคอลล์เซ็นเตอร์ได้ โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาลพม่า ส่วนธุรกิจควบคุมจราจรทางอากาศในพม่าและลาวได้มีการเจรจากับรัฐบาลทั้งสองประเทศไปแล้ว แต่อาจจะยังต้องใช้เวลา ทั้งนี้การขยายธุรกิจดังกล่าวเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ขณะเดียวกัน บริษัทสนใจธุรกิจดิจิตอลทีวี ซึ่งกำลังพิจารณายื่นขอใบอนุญาตด้านเน็ตเวิร์คและอินฟราสตรัคเจอร์ที่ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) โดยจะเข้าไปร่วมกับพันธมิตร นอกจากนี้จะร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการที่ยื่นประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ของลีกอังกฤษ
สำหรับความคืบหน้าการติดตั้งโครงข่าย 3G ของบมจ.ทีโอที เฟสแรก นายวัฒน์ชัย คาดว่า สิ้นเดือน ส.ค.นี้จะติดตั้งได้ 3,200 สถานีฐาน และในเดือนธ.ค.นี้น่าจะติดตั้งได้ครบ 5,320 สถานีฐาน และเชื่อว่าทีโอทีจะดำเนินโครงการขยายเครือข่าย 3G เฟส 2 ที่มีจำนวนกว่า 1 หมื่นสถานีฐาน มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ต่อจากเฟสแรก โดยคาดว่าบริษัทจะได้รับงานในช่วงปลายปี 55 หรือต้นปี 56
*SAMTEL มีงานรอเซ็นสัญญาอีก 1.5 พันลบ.ใน Q3/55
ในสายธุรกิจ ICT Solutions ภายใต้บมจ.สามารถเทเลคอม (SAMTEL) อยู่ระหว่างรอการเซ็นสัญญางานในไตรมาส 3/55 มูลค่ารวมประมาณ 1.5 พันล้านบาท จากในช่วงครึ่งปีแรกเซ็นสัญญาไปแล้ว 1.3 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีโครงการในมือ มูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอการประมูลในช่วงครึ่งปีหลังอีกหลายสิบโครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการระบบตรวจสอบผู้โดยสารระหว่างประเทศ(APPS)มูลค่า 6 พันล้านบาท โครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) มูลค่า 450 ล้านบาท คาดประมูลใสไตรมาส 3 นี้ โครงการ ระบบไอทีของกรมสรรพากร มูลค่า 2 พันล้านบาท โครงการระบบสารสนเทศฯสิ่งแวดล้อมของกทม.มูลค่า 450 ล้านบาท
อีกทั้งจะมีรายได้ประจำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบรวมบริษัท พอร์ทัลเน็ต จำกัด ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในเดือน ก.ย.นี้ เดือนละ 53 ล้านบาท ไประยะเวลาเกือบ 60 เดือน
*ลูกค้า 3GX เพิ่มเป็น 6 แสนรายสิ้นปีนี้
สายธุรกิจ Mobile Multi-media ภายใต้ บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย (SIM) คาดว่าจะมียอดผู้ใช้บริการ i-mobile 3GX เพิ่มขึ้นถึง 6 แสนรายในสิ้นปี 55 จากปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการ 3 แสนราย จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5 แสนรายในปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้น และมีการวางเครือข่ายครอบคลุมมากขึ้น หลังการติดตั้ง 3G เฟสแรกคาดว่าจะได้ 3,500 สถานีฐานในเดือน ก.ย.ครอบคลุมกทม.และหัวเมืองใหญ่
นอกจากนี้บริษัทคาดว่ในเดือน ก.ย.นี้ จะเซ็นสัญญากับทีโอที ในการเป็น MVNO อีกจำนวน 2.88 ล้านเลขหมายหรือ 40% ของความจุปริมาณโครงข่าย (Capacity) ซึ่งขณะนี้กำลังร่างสัญญากันอยู่ โดยในเดือนก.ย.จะมีแคมเปญใหม่ โดยเน้นกลยุทธ์เป็นซิมที่ 2 ของผู้ใช้ที่เน้นใช้ดาต้าเป็นหลัก
ด้านนายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIM กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าราคาเครื่องต่อหน่วยจะสูงขึ้นมาที่ระดับ 2,000 บาท/เครื่องได้ เพราะก.ค.ที่ผ่านมา เครื่องสมาร์ทโฟนเริ่มเข้ามขายต่อเนื่องและมีการใช้แอพพลิเคชั่นมากขึ้น ทำให้ราคาต่อหน่วยขยับมาอยู่ที่ 1,800-1,900 บาท/เครื่อง จากช่วงครึ่งปีแรกที่ทำได้ 1,200-1,500 บาท/เครื่อง แต่ทั้งปีคาดว่าราคาเฉลี่ยจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 1,600 บาท/เครื่อง