บมจ.ผาแดงอินดัสทรี (PDI) ปรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อให้กลับมามีกำไรในปี 56 ด้วยการขยายกำลังการผลิตของโรงล้างวัตถุดิบสังกะสีออกไซด์ที่ได้จากโรงงานรีไซเคิลฝุ่นเหล็กที่มีอยู่ในประเทศและต่างประเทศเพื่อลดการนำเข้าแร่สังกะสีซัลไฟด์ที่มีราคาแพง รวมทั้ง ปรับปรุงกระบวนการถลุงโลหะให้มีผลิตภัณฑ์พลอยได้เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการซื้อแร่, ขยายกำลังการผลิตและจำหน่ายโลหะสังกะสีผสมสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น และ มุ่งเน้นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงถลุงที่จังหวัดตากและโรงย่างแร่ จังหวัดระยอง
"เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ กลับมามีผลกำไร บริษัทฯ จึงได้ปรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจซึ่งให้ความสำคัญต่อโครงการพัฒนาปรับปรุงในทุกกระบวนการตั้งแต่การจัดหาจนถึงการขาย ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายให้เห็นผลสำเร็จในปี 2556 เป็นต้นไป"
PDI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/55 จากงบการเงินรวม มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 126.47 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 26.68 ล้านบาท ส่วนช่วงครึ่งแรกของปีนี้จากงบการเงินรวม บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 173.53 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 186.77 ล้านบาท
บริษัทระบุว่า แม้ราคาเฉลี่ยโลหะสังกะสีโลกหรือ LME ในไตรมาส 2/55 จะลดลงร้อยละ 15 จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ราคา 2,254 ดอลลาร์สหรัฐ/เมตริกตัน เหลือเพียง 1,928 ดอลลาร์สหรัฐ/เมตริกตัน แต่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 2/55 จำนวน 2,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 227 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 จากช่วงระยะเดียวกันของปี 54
ขณะที่ต้นทุนการขายและบริการของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 โดยเพิ่มจาก 1,814 ล้านบาทเป็น 2,107 ล้านบาท สาเหตุหลักจากสัดส่วนการใช้แร่สังกะสีซิลิเกตซึ่งเป็นวัตถุดิบแร่ต้นทุนต่ำลดน้อยลง และกำไรขั้นต้นจากแร่นำเข้าสังกะสีซัลไฟด์ลดลงจากราคา LME ที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งค่าถลุงแร่ที่ลดต่ำลงด้วย สาเหตุสำคัญประการที่สองคือ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงมากขึ้นทั้งจากค่าไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิงและสารเคมีที่ใช้ในการผลิต
เนื่องจากปัจจุบันปริมาณสต็อกโลหะสังกะสีในตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จึงยังไม่มีแนวโน้มว่าราคาโลหะสังกะสีจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะอันสั้น