นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีทีโกลบอล (PTTGC) คาดว่า รายได้ในปี 55 น่าจะทำได้ 4 แสนล้านบาทตามที่ประมาณการไว้หลังจากที่ครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท เพราะคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ยังทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยคำสั่งซื้อยังไม่ทันการชะลอตัว
อีกทั้งสเปรดในครึ่งปีหลังคาดว่าจะทรงตัวจากครึ่งปีแรกทั้งอะโรเมติกส์และเม็ดพลาสติก บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเหนือ 100 เหรียญ/บาร์เรลซึ่งจะไม่เกิดขาดทุนสต็อกน้ำมัน จึงคาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าสเปรดของพาราไซลีนและเบนซีน จะทรงตัวสูงจากไตรมาส1/55ขณะที่สเปรดเม็ดพลาสติกในไตรมาส3/55อ่อนตัวลง 1-2% จากไตรมาส2/55
นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง5-10% หรือประมาณกว่า 1 พันล้านบาทจากงบทั้งปี 55อยู่ที่ 1หมื่นล้านบาทเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป สหรัฐและจีน รวมทั้งจะมีการทบทวนงบลงทุนช่วงจากนี้จนถึงปี 63 จากที่กำหนดไว้ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยจะจัดลำดับความสำคัญการลงทุนใหม่ เพื่อเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและความปลอดภัย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนต.ค -พ.ย.55 นี้
และยังจัดตั้งทีมผู้บริหารที่คอยติดตามจับตาสถานการณ์วิกฤติยุโรปอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็ดูโอกาสการลงทุนพร้อมกันไปด้วย ซึ่งบริษัทมีแผนจะเตรียมสภาพคล่องให้พร้อมไว้ รวมทั้งดูแลการปล่อยวงเงินเครดิตสินค้าที่ขายให้ลูกค้าด้วย
"เราเตรียมตัวรองรับกับ crisis เราเริ่มรัดเข็มขัดตัวเอง จัดลำดับความสำคัญการลงทุน ดูเรื่องสภาพคล่อง และมีทีมที่คอย monitor สถานการณ์อย่างใกล้ชิด" นายอนนต์ กล่าว
ส่วนการปรับสูตรราคาก๊าซกับบมจ.ปตท (PTT) นายอนนต์ กล่าวว่า แม้ว่าการปรับครั้งนี้จะทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น 8% แต่ยังอยู่ในระดับแข่งขันได้ดีกับผูประกอบการที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ และการแก้ไขสัญญาดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีเสถียรภาพเรื่องวัตถุดิบได้ในระยะยาว หรือสิ้นสุดในปี 63 และเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และ PTT ยืนยันจะจัดหารวัตถุดิบให้ต่อเนื่องหากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตต่อไป
PTT ยังได้ตกลงในหลักการว่าจะโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปิโตรเคมีที่ PTT ถืออยู่ให้กับ PTTGC ได้แก่ บริษัท พีทีทีฟีนอล เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มปตท. มอง PTTGC เป็น FLAGSHIP และจะทำให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้