ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเดินหน้าขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งเมื่อคืนนี้ (17 ส.ค.) หลังรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นเกินคาดช่วยเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 25.09 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 13,275.20 จุด ส่งผลให้ตลอดทั้งสัปดาห์ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.65 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 1,418.16 จุด ซึ่งใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 14.20 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 3,076.59 จุด
ทั้งนี้ หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวกวานนี้ ภายหลังมีการเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนส.ค.ที่พุ่งสูงเกินคาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสนี้ โดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ระดับ 73.6 จากระดับ 72.3 ในเดือนก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกับที่ระดับ 72.2 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า เนื่องจาก 80% ของเศรษฐกิจสหรัฐได้รับการขับเคลื่อนด้วยการบริโภค รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นบวกดังกล่าวจึงช่วยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนและกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขาย
ดัชนีความผันผวน VIX ของตลาด CBOE ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความวิตกกังวลของตลาดหุ้น ร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 14 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เป็นบวกของตลาด
ขณะเดียวกัน นักลงทุนส่งคำสั่งซื้อหุ้นเพราะกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะดำเนินมาตรการเพื่อต่อสู้กับวิกฤตหนี้สาธารณะภายในภูมิภาคเร็วๆนี้ อันเนื่องมาจากถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่กล่าวระหว่างการเดินทางเยือนแคนาดาว่า เยอรมนีมีพันธสัญญาในการทำทุกวิถีทางเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อให้ยูโรยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวนับว่าสอดคล้องกับความคิดเห็นของนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่าอีซีบีจะดำเนินการภายในขอบเขตหน้าที่เพื่อปกป้องสกุลเงินยูโร
ผู้นำเยอรมนีกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีสตีเฟน ฮาร์เปอร์ของแคนาดา ว่าความเห็นของนายดรากิเป็นสิ่งที่บรรดาผู้นำยุโรปได้เน้นย้ำมานับแต่วิกฤตหนี้กรีซได้ปะทุขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน และมีความสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับแนวทางที่ผู้นำยุโรปยึดถือมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม หุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนขายหุ้นเพื่อทำกำไรท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบางในช่วงวันหยุดฤดูร้อน
หุ้นแอปเปิลยังคงเดินหน้าต่อเนื่องในการซื้อขายหลังปิดตลาด ภายหลังปีเตอร์ ไมเสก นักวิเคราะห์ของเจฟเฟอรีส์ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 900 ดอลลาร์/หุ้น และยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ส่งผลให้หุ้นแอปเปิลทำสถิติปิดที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 648.11 ดอลลาร์เมื่อวานนี้
ในทางตรงกันข้าม หุ้นเฟซบุ๊กทำสถิติลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าเทรดในตลาดหุ้นวันแรกเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา จากการที่นักลงทุนกระหน่ำเทขายหลังพ้นช่วงล็อกอัพ หรือครบกำหนดห้ามขายหุ้นภายในเวลา 3 เดือนหลังเปิดไอพีโอ โดยราคาหุ้นเฟซบุ๊กร่วงเหลือ 19 ดอลลาร์ หรือเพียงครึ่งหนึ่งของราคาไอพีโอ