บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) ดันคนรุ่นใหม่พัฒนาองค์กรปั้นนักลงทุนเพิ่ม-ต่อยอดฐานเดิมเน้นเติบโตด้วยกัน โดยคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายทองคำเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 20% โดย 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายไปแล้ว 13,000 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้าของบริษัทฯน่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีลูกค้าประมาณ 2,500 ราย ทั้งนี้ บริษัทฯพยายามหาโปรแกรม หรือเครื่องมือที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมออมทองขั้นต่ำเหลือเพียง 5,000 บาท/เดือน หรือโปรโมชั่นอื่นที่ส่งเสริมทางการตลาดและกระตุ้นยอดขายให้กับบริษัทฯ
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ GBX เปิดเผยว่า การดำเนินงานของโกลเบล็กกรุ๊ป ในปีนี้ถือเป็นการครบรอบปีที่ 10 โดยที่ผ่านมา บริษัทฯได้ผ่านหลายๆเหตุการณ์สำคัญมาได้ด้วยดีโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในตลาดทุน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯมีศักยภาพ และมีความแข็งแกร่งในการบริหารงาน จนมาถึงในขณะนี้บริษัทฯได้แต่งตั้งผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่จะมาช่วยขยายงาน และพัฒนาองค์กรให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทิศทางการดำเนินงานของโกลเบล็ก กรุ๊ป ในช่วงต่อไป ยังคงเป็นการประสานงานกันแบบทีมเวิร์ค โดยมีบริษัทแม่อย่างโกลเบล็ก โฮลดิ้งฯ และบริษัทในเครืออย่าง บล.โกลเบล็ก ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กันไปไม่ว่าจะเป็นการทำ Cross selling ผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนร่วมกัน อาทิ ทองคำแท่ง กับ Gold Futures เป็นต้น ตลอดจนการทำโปรโมชั่นทางการตลาดร่วมกันเพื่อสื่อถึงความครบวงจร และตอบโจทย์ลูกค้าที่สามารถซื้อขายทุกสินค้าภายใต้เครือโกลเบล็ก กรุ๊ป
นอกจากนี้ โกลเบล็ก กรุ๊ปยังมีแผนที่จะพัฒนาบุคคลากรในองค์กร และนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น เพื่อเพิ่มจำนวนมาร์เก็ตติ้ง และนักลงทุนจากนักลงทุนเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยมีการร่วมมือกับองค์กรชั้นนำที่เกี่ยวข้องมาช่วยในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯมองว่า การขยายฐานลูกค้าใหม่ถือเป็นช่องทางที่ดีในการเพิ่มปริมาณการซื้อขาย และรายได้ที่มั่นคง โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มีการลงทุนผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยการตั้งฝ่าย E-Trading เพิ่มขึ้นมาเพื่อรองรับนักลงทุน และเพื่อรองรับการเปิดอาเซียนลิงค์ และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอนาคต
นางทรงวุฒิ กล่าวว่า ในปีนี้ยอดขายทองคำยังคงเป็นไปตามแนวโน้ม และความต้องการในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก ที่ต้องยอมรับว่าแนวโน้มยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปี 55 ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,530-1,700 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีปัจจัยจากปัญหาวิกฤตหนี้สินยุโรปที่เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ติดตามการลดภาระการขาดดุลงบประมาณและการชำระคืนเงินกู้ของประเทศสเปนและอิตาลีซึ่งเป็นประเทศที่มีหนี้สินต่อผลผลิตมวลรวม (Debts:GDP)ที่สูงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของประเทศดังกล่าวยังคงเคลื่อนไหวในระดับใกล้เคียง 7%(เป็นระดับที่ทำให้การกู้ยืมเงินของรัฐบาลลำบากมากขึ้น)
นอกจากนี้ขอให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากมีการพัฒนาขึ้นในทางที่บ่งถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการว่างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบในทางลบต่อราคาทองคำได้ ประเด็นอื่น ๆ ที่น่าติดตามของสหรัฐฯ เพิ่มเติมคือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายอัตราดอกเบี้ยหากมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาทองคำได้
ด้านนายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯการวางแผนจัดหลักสูตรให้ความรู้การลงทุนทั้งในส่วนของหุ้น และตลาดอนุพันธ์สำหรับนักลงทุนตามรูปแบบของการลงทุน ระยะยาว พื้นฐาน ที่พร้อมให้ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ และคำแนะนำจากนักวิเคราะห์พื้นฐาน ตลอดจนการบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ขณะที่นักลงทุนเก็งกำไรทางบริษัทฯจะมีการเตรียมข้อมูลทางเทคนิค อาทิ การอ่านกราฟ การหาข้อมูลในหุ้น การวิเคราะห์สินค้าอ้างอิงในตลาดอนุพันธ์ ตลอดจนแหล่งหาข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
การดำเนินงานยังคงเน้นไปในด้านตลาดอนุพันธ์ที่ถือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ มีการเตรียมพร้อมสำหรับสินค้าใหม่ๆที่ทางบริษัท ตลาดอนุพันธ์(ประเทศไทย) จำกัด จะนำเข้ามาซื้อขายเพิ่มเติม ตลอดจนหาช่องทางเพิ่มรายได้โดยเข้าร่วมเป็นมาร์เก็ตเมกเกอร์ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า(AFET) ในสินค้าที่มีโอกาส เช่น ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เป็นต้น เชื่อว่าปีนี้บริษัทฯจะรักษาส่วนแบ่งการตลาด 14% จากปีก่อน โดยต้นปีที่อยู่ 12-13% คาดจะมีบัญชีการเคลื่อนไหวรวม 2,000 บัญชี
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯยังมีรายได้จากการดำเนินงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยล่าสุดได้รับความไว้วางใจจากบมจ.สยาม อมาโก้ โฮลดิ้งส์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายภายใต้แบรนด์ ‘แฟมมิลี่ เฮ้าส์’ และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าภายใต้แบรนด์ ‘การ์เด้นท์ ออฟฟิศ’ ที่เตรียมพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในอนาคตบริษัทหลักทรัพย์จะมีรายได้ในส่วนอื่นแพิ่มมากขึ้น