นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) คาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 56 และปี 57 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากในปีนี้รายได้และกำไรสุทธิน่าจะทำได้แค่ใกล้เคียงปีก่อนจากผลกระทบปริมาณการหีบอ้อยลดลง ขณะที่ในแง่ของกำไรในปี 57 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวลที่จะเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ต้นปี
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้รวมปี 55 นี้จะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้ 6,150 ล้านบาท แม้คาดว่าปริมาณหีบอ้อยจะลดลง 10% มาอยู่ที่ 2.5 ล้านตัน แต่บริษัทได้ปรับตัวเน้นไปผลิตน้ำตาลทรายขาวเพื่อการส่งออกทำให้ได้ราคาที่ดีกว่าปัจจุบันมีสัดส่วนส่งออก 70% ในประเทศ 30% รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าน้ำตาลดิบค่อนข้างมาก ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้ก็คงจะออกมาใกล้เคียงปีก่อนที่ราว 800 ล้านบาทเช่นกัน
จากนั้นในปี 56 แนวโน้มผลการดำเนินการจะกลับมาเติบโตในระดับปกติที่ 10-15% หรือคิดเป็นเป้าหมายการหีบอ้อยที่ 2.8 ล้านตัน จากปริมาณพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มขึ้นและความพร้อมด้านเครื่องจักรที่เลื่อนการติดตั้งมาจากปลายปี 54 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม
ในแง่ของกำไรสุทธิปีหน้าน่าจะเติบโต 5-15% ตามปริมาณหีบอ้อยที่เพิ่มขึ้น 5-10% เช่นกัน ขณะที่ราคาขายในประเทศเท่าปีก่อนเฉลี่ยที่ 20 บาท/ก.ก. แต่ราคาส่งออกได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไปแล้วราว 50% ที่ราคา 25 เซนต์/ปอนด์ จึงขึ้นอยู่กับครึ่งปีหล้งว่าจะขายได้ที่ราคาเท่าใด จากปี 55 ขายล่วงหน้า 100% แล้วที่ 24.75 เซนต์/ปอนด์
นายอิสสระ กกล่าวว่า ราคาน้ำตาลในตลาดโลกในปีหน้ามีแนวโน้มปรับขึ้นจาก ณ ปัจจุบันราคาตลาดที่ 20 เซนต์/ปอนด์ เพราะราคาขณะนี้มองว่าบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอันดับ 1 ของโลก คงไม่เพิ่มการลงทุนหรือปลูกอ้อยเพิ่ม เพราะไม่คุ้มค่า ซึ่งราคานี้ไม่น่าจะนานสักพักก็ต้องปรับขึ้น
ส่วนในปี 57 บริษัทเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 25-30% โดยเฉพาะจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทย่อย โดยมีกำลังการผลิต 35 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมกับเดินเครื่องขายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ประมาณเดือนก.พ.57
นายอิสสระ กล่าวอีกว่า ภายใน 1 ปีข้างหน้าคงยังไม่ได้เห็นการลงทุนต่างประเทศของบริษัท เพราะตลาดภายในประเทศยังมีโอกาสเติบโตมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมพร้อมรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ไว้แล้วด้วยการขายน้ำตาลให้ผู้ผลิตโคคาโคล่าหรือโค้ก ถึงแม้จะยังไม่มากแต่การที่เราได้โค้กเป็นลูกค้า น่าจะเป็นที่ยอมรับของโมเดิร์นเทรดและลูกค้าคนอื่นๆได้ อีกทั้งแพ็กเก็จจิ้งที่ดีถ้าจะขายก็สามารถทำได้ทันทีและส่งไปขายได้เลยขณะที่ระบบขนส่งเราพร้อมอยู่แล้ว
ดังนั้น มองว่าการส่งสินค้าเข้าไปขายใน AEC จะง่ายกว่าการไปเปิดโรงงานในต่างประเทศ ปัจจุบันมีลูกค้า AEC มากกว่า 80% ที่เหลือเป็นตะวันออกกลาง ซึ่งวิกฤตยุโรปไม่กระทบกับการขายของเรา อีกทั้งเราขายล่วงหน้าเทรดเดอร์จะเป็นผู้หาลูกค้าเอง จึงไม่มีปัญหาทุกอย่างส่งออกได้ปกติ